อ่
างทอง เป็นจังหวัดขนาดเล็ก ตั้งอยู่บริเวณภาคกลางตอนล่าง มีเนื้อที่
968 ตารางกิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศ เป็นที่ราบลุ่ม ไม่มีป่าไม้ และภูเขา
มีแม่น้ำสายสำคัญไหลผ่านสองสาย คือ แม่น้ำน้อย และแม่น้ำเจ้าพระยา
จังหวัดอ่างทอง เดิมชื่อ เมืองวิเศษชัยชาญ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำน้อยอยู่ในพื้นที่ราบลุ่มของแม่น้ำเจ้าพระยา
เป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญ ของกรุงศรีอยุธยาในการสู้รบกับกองทัพพม่า
ดังปรากฏในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา อยู่หลายตอน โดยเฉพาะครั้งหลังสุด พม่าได้ใช้แขวงเมืองวิเศษชัยชาญ
เป็นที่ตั้งค่ายตีกรุงศรีอยุธยาและเกิดการสู้รบครั้งสำคัญ ที่จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ไทยคือ
ศึกบางระจัน ขึ้นที่บ้านบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี ปลายสมัยกรุงธนบุรี
ได้ย้ายที่ตั้งเมือง มาอยู่บริเวณฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา ที่บ้านบางแก้ว
เรียกชื่อเมืองใหม่ว่า อ่างทอง เพราะเป็นที่ลุ่มและเป็นอู่ข้าวอู่น้ำเสมือนขุมทรัพย์
จังหวัดอ่างทองมีทิศเหนือจดจังหวัดสิงห์บุรี
ทิศตะวันออกจดจังหวัดลพบุรีและพระนครศรีอยุธยา
ทิศตะวันตกจดจังหวัดสุพรรณบุรี
ทิศใต้จดจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
 |
การเดินทางโดยรถยนต์
- เส้นทางที่ 1
ใช้เส้นทางสายพหลโยธิน
จากกรุงเทพฯ
แยกเข้าเส้นทางสายเอเชีย
ผ่านอำเภอบางปะอิน-บางปะหัน-อยุธยา-อ่างทอง
รวมระยะทาง 105 กิโลเมตร
เป็นระยะทางที่ใกล้ที่สุด
- เส้นทางที่ 2 ใช้เส้นทางตัดใหม่
ข้ามสะพานพระปิ่นเกล้า
- ตลิ่งชัน
เข้าเส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข
340 ผ่านจังหวัดนนทบุรี-ปทุมธานี-อยุธยา-สุพรรณบุรี-อ่างทอง
รวมระยะทางประมาณ 150
กิโลเมตร
- เส้นทางที่ 3
ใช้เส้นทางกรุงเทพฯ-ปทุมธานี
ผ่านปากเกร็ด
เข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข
3111 ผ่านอำเภอบางไทร-อำเภอเสนา-อยุธยา
จากนั้นใช้เส้นทางหมายเลข
309 เข้าอำเภอป่าโมก-อ่างทอง
รวมระยะทาง 140 กิโลเมตร |
 |
การเดินทางโดยรถโดยสารประจำทาง
บริษัท ขนส่ง จำกัด เปิดบริการเดินรถธรรมดาและรถปรับอากาศระหว่างกรุงเทพฯ-อ่างทอง
ทุกวันวันละหลายเที่ยว โดยรถจะออกจากสถานีขนส่งสายเหนือ ถนนกำแพงเพชร
2 ตั้งแต่ 05.30-18.00 น. ทุก 20 นาที สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.
936-3660, 936-3666 |
สถานที่น่าสนใจ ในเขตอำเภอเมือง
ศาลหลักเมือง อยู่ตรงข้ามศาลากลางจังหวัด เป็นอาคารจตุรมุข
(4 หน้า) ตัวศาลสูงจากพื้นประมาณ 1.5 เมตร ภายในศาลเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังภาพพุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่งสวยงามมาก
ศาลหลักเมืองจังหวัดอ่างทองเป็นศาลหลักเมืองแห่งที่ 2 ที่มีการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังทั้ง
4 ด้าน (ศาลหลักเมืองแห่งแรกที่มีภาพจิตรกรรมฝาผนัง คือ ศาลหลักเมือง
กรุงเทพฯ) ศาลหลักเมืองอ่างทองเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สวยงามสมกับเป็นหลักชัย
และหลักใจของประชาชนชาวอ่างทองอย่างยิ่ง ผู้ที่มีโอกาสไปเยือนจังหวัดนี้ไม่ควรละเว้นที่จะไปเคารพสักการะศาล
หลักเมืองและหาของดี เมืองอ่างทองบริเวณศาลเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
วัดอ่างทองวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ตั้งอยู่ตรงข้ามศาลากลางจังหวัด
เดิมเป็นวัดเล็กๆ 2 วัด ชื่อ วัดโพธิ์เงิน และวัดโพธิ์ทอง สร้างในสมัยรัชกาลที่
4 ครั้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดฯ ให้รวมเป็นวัดเดียวกัน เมื่อ พ.ศ. 2443
แล้วพระราชทานนามว่า วัดอ่างทอง วัดนี้มีพระอุโบสถที่งดงามยิ่งนัก
พระเจดีย์ทรงระฆังประดับด้วยกระจกสีอย่างสวยงาม และหมู่กุฏิทรงไทยสร้างด้วยไม้สักงดงามเป็นระเบียบ
ล้วนเป็นศิลปะสถาปัตยกรรมตามแบบสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
วัดต้นสน อยู่ริมฝั่งฟากตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงข้ามกับวิทยาลัยเทคนิคอ่างทอง
เป็นวัดเก่าแก่โบราณที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางสมาธิ เรียกว่า สมเด็จพระศรีเมืองทอง
ขนาดหน้าตักกว้าง 6 วา 3 ศอก 9 นิ้ว สูง 9 วา 2 ศอก 19 นิ้ว มีพุทธลักษณะที่สวยงามมากอีกองค์หนึ่ง
นับว่าเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยโลหะที่ใหญ่ที่สุดองค์แรก
วัดราชปักษี อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้าน ทิศตะวันออกไปทางทิศใต้ของอำเภอเมืองประมาณ
3-4 กิโลเมตร ตามถนนสายอ่างทอง-อยุธยา มีพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่เห็นได้ชัด
มีพุทธลักษณะคล้ายพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมกแต่มีขนาดย่อมกว่าเล็กน้อย
สันนิษฐานว่าเป็นของเก่าสมัยอยุธยา เดิมองค์พระชำรุดทรุดโทรมอย่างหนักปัจจุบันได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่
น่าไปเที่ยวชมและนมัสการยิ่งวัดหนึ่ง
วัดสุวรรณเสวริยาราม อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ทิศตะวันออกในท้องที่ตำบลตลาดกรวด
จากศาลากลางจังหวัดไปตามถนนคลองชลประทาน 3 กิโลเมตร มีพระพุทธไสยาสน์ขนาดองค์พระยาวประมาณ
10 วา ประดิษฐานอยู่ภายในพระวิหารและโบราณวัตถุสถานต่างๆ ที่มีอายุราว
100 ปี
บ้านทรงไทยจำลอง ส่วนประกอบบ้านทรงไทย เครื่องเรือนไม้ตาล
เป็นฝีมือเชิงช่างที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ นอกจากจะมีการจัดสร้างที่สวยงามแล้ว
ก็ยังคงความเป็นไทยไว้อย่างน่าสนใจ ตามเส้นทางสาย อยุธยา-ป่าโมก และตำบลโพสะ
เป็นแหล่งทำส่วนประกอบของบ้านทรงไทยทุกชนิด มีการประดิษฐ์บ้านทรงไทยจำลองที่ย่อส่วนจากของจริง
และยังมีสินค้าประเภทเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ที่ทำจากไม้ตาลอีกด้วย
สถานที่น่าสนใจ
ในเขตอำเภอป่าโมก
วัดป่าโมกวรวิหาร อยู่ในเขตเทศบาลตำบลป่าโมก ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตกห่างจากอำเภอเมืองอ่างทองไป
18 กิโลเมตร ตามเส้นทางหลวงหมายเลข 309 สายอ่างทอง-อยุธยา เดิมมีวัด
2 วัด อยู่ติดกันคือ วัดตลาดกับวัดชีปะขาว เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ที่งดงามมากองค์หนึ่งของประเทศไทย
มีความยาวจากพระเมาลีถึงปลายพระบาท 22.58 เมตร ก่ออิฐถือปูนปิดทอง องค์พระนี้สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยสุโขทัย
มีประวัติความเป็นมาน่าอัศจรรย์เล่าขานว่า ได้ลอยน้ำมาจมอยู่หน้าวัด
ราษฎรบวงสรวงแล้วชักลากขึ้นมาไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำ ในพระราชพงศาวดารกล่าวว่าสมเด็จพระนเรศวรมหาราชก่อนจะยกทัพไปรบกับพระมหาอุปราชได้เสด็จมาชุมนุมพล
และถวายสักการะบูชาพระพุทธรูปองค์นี้ ในปี พ.ศ. 2269 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระได้เสด็จมาควบคุมการชะลอองค์พระให้พ้นจากกระแสน้ำเซาะตลิ่งพัง
ไปไว้ยังวิหารใหม่ที่วัดตลาดห่างจากฝั่งแม่น้ำ 168 เมตร แล้วโปรดให้รวมทั้งสองเป็นวัดเดียวกันพระราชทานนามว่าวัดป่าโมกเพราะบริเวณนั้นมีต้นโมกมากมาย
สิ่งที่น่าสนใจในวัดนี้มีมากมาย อาทิเช่น พระวิหารพระพุทธไสยาสน์ วิหารเขียน
มณฑปพระพุทธบาท 4 รอย เป็นต้น
วัดท่าสุทธาวาส อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้านทิศตะวันออกเขตตำบลบางเสด็จ
หากใช้เส้นทางสาย อยุธยา-อ่างทอง (ทางหลวงหมายเลข309) ทางเข้าวัดจะอยู่ทางซ้ายมือห่างจากตัวจังหวัดอ่างทองประมาณ
17 กิโลเมตร หรือห่างจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาประมาณ 14 กิโลเมตร วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่แต่โบราณสมัยอยุธยาตอนต้นในการศึกสงครามครั้งกรุงศรีอยุธยา
บริเวณนี้จะเป็นเส้นทางเดินทัพข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาปัจจุบัน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี
ทรงรับไว้ในพระราชอุปถัมภ์ มีการจัดสร้างพลับพลาที่ประทับกลางสระน้ำ
พระเจดีย์เพื่อแสดงพระพุทธรูปโบราณและโบราณวัตถุต่างๆ รวมทั้งพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระเอกาทศรถ
ภายในพระอุโบสถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จิตรกรส่วนพระองค์และนักเขียนโครงการศิลปาชีพ
เขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังด้วย บริเวณวัดแห่งนี้มีความร่มรื่นด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่
และทิวทัศน์สวยงามริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ชวนให้เป็นที่น่าพักผ่อน
วัดสระแก้ว อยู่ถัดจากวัดท่าสุทธาวาส ประมาณ 200 เมตรตามถนนเลียบคันคลองชลประทาน
หากเดินทางมาจากอยุธยาตามเส้นทาง อยุธยา-อ่างทอง (ทางหลวงหมายเลข 309)
ทางเข้าวัดจะอยู่ซ้ายมือห่างจากอยุธยาประมาณ 15 กิโลเมตร วัดนี้สร้างเมื่อปี
พ.ศ. 2242 เดิมชื่อวัดสระแก เป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่มีเด็กอยู่ในความดูแลมากและได้จัดตั้งคณะลิเกเด็กกำพร้าวัดสระแก้ว
เพื่อหารายได้ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กกำพร้าด้วย นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของ
สามัคคีสมาคาร ซึ่งเป็นศูนย์โครงการทอผ้าตามพระราชประสงค์ก่อตั้งเมื่อ
พ.ศ. 2524 อยู่ในความรับผิดชอบของ กองอุตสาหกรรมในครอบครัว กระทรวงอุตสาหกรรม
ที่บ้านบางเสด็จนี้จะมีกี่ทอผ้าอยู่แทบทุกหลังคาเรือน ชาวบางเสด็จจะขยันขันแข็งมุ่งผลิตสินค้าผ้าทอต่างๆ
เช่น ผ้าซิ่น ผ้าขาวม้า ผ้าปูโต๊ะ ปลอกหมอน ฯลฯ ให้มีคุณภาพดี และมีความสวยงาม
จนเป็นที่รู้จักแพร่หลายทั่วไป สินค้าเหล่านี้จะรวบรวมไปจัดจำหน่ายแก่ผู้สนใจที่ศูนย์สามัคคีสมาคาร
รายละเอียดติดต่อโทร. (035) 611169
ตุ๊กตาชาววังบางเสด็จ ตำบลบางเสด็จตั้งอยู่ในเส้นทางหลวงหมายเลข
309 จากอยุธยามุ่งหน้าสู่อ่างทองประมาณ 16 กิโลเมตร จะมีทางแยกซ้ายมือเข้าสู่บ้านบางเสด็จ
อยู่ติดกับวัดท่าสุทธาวาส ตำบลนี้เดิมชื่อตำบลบ้านวัดตาล เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
เสด็จพระราชดำเนินพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราษฎรผู้ประสบอุทกภัยใน ปี
พ.ศ. 2518 สร้างความปลื้มปิติให้แก่ราษฎรเป็นอันมาก เพื่อเป็นการระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ
จึงพร้อมใจกันเปลี่ยนชื่อบ้านวัดตาลเป็น บ้านบางเสด็จ ภายในหมู่บ้านบางเสด็จนี้
นอกจากจะได้ชมทัศนียภาพอันร่มรื่นและสวยงาม ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาแล้วยังสามารถเดินชมการปั้นตุ๊กตาในบริเวณบ้านเรือนราษฎรละแวกนั้นได้อย่างเป็นกันเอง
โครงการตุ๊กตาชาววังที่บ้านบางเสด็จเป็นโครงการที่สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
ทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2519 เพื่อให้เป็นอาชีพเสริมเพิ่มพูนรายได้ให้แก่ราษฎร
มีการรวมกลุ่มในรูปสหกรณ์โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ด้านหน้าวัดท่าสุทธาวาส
ซึ่งจะจัดให้สมาชิกมาสาธิตการปั้นพร้อมกับจัดจำหน่ายในราคาที่ย่อมเยา
ตุ๊กตาชาววังเป็นประดิษฐกรรมดินเหนียวที่สวยงามจัดแสดงชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยทุกเพศทุกวัย
วัฒนธรรมประเพณีไทย เช่น การละเล่นของเด็กไทย วงมโหรีปี่พาทย์ ตลอดจนผลไม้ไทยหลายหลากชนิดล้วนมีความสวยงามน่ารักและเหมาะที่จะซื้อเป็นของฝากหรือของที่ระลึกเป็นอย่างยิ่ง
หมู่บ้านทำกลอง ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านแพ ตำบลเอกราช
หลังตลาดป่าโมก ริมฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา การเดินทางใช้ถนนสายใน
ผ่านหน้าที่ทำการเทศบาลอำเภอป่าโมกซึ่งขนานไปกับลำคลองชลประทาน ระยะทางประมาณ
17 กิโลเมตร ชาวบ้านแพเริ่มผลิตกลองมาตั้งแต่ พ.ศ.2470 โดยจะเริ่มหลังฤดูเก็บเกี่ยว
วัตถุดิบที่ใช้ได้แก่ไม้ฉำฉาเพราะเป็นไม้เนื้ออ่อนที่สามารถขุดเนื้อไม้ได้ง่ายกับหนังวัว
นอกจากคุณภาพที่ประณีตสวยงามแล้วยังมีหลายขนาดให้เลือกอีกด้วย โดยเฉพาะกลองขนาดจิ๋วจะเป็นที่นิยมหาซื้อไว้เป็นของที่ระลึกซึ่งขายดีมาก
อิฐอ่างทอง เป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนคุณภาพสูงที่ผลิตขึ้น
เพื่อจัดจำหน่ายไปทั่วประเทศไทย ส่วนมากจะใช้ในการทำอิฐโชว์แนวประดับอาคาร
บ้านเรือน ผู้สนใจจะติดต่อซื้อได้จากโรงอิฐโดยตรง เฉพาะที่อำเภอป่าโมกจะมีโรงอิฐมากกว่า
42 แห่ง
สถานที่น่าสนใจ ในเขตอำเภอไชโย
วัดไขโยวรวิหาร อยู่บนเส้นทางสาย
อ่างทอง-สิงห์บุรี ห่างจากอำเภอเมืองอ่างทองประมาณ 18 กิโลเมตร เป็นวัดพระอารามหลวงชั้นโท
เดิมเป็นวัดราษฏร์โบราณสร้างมาแต่ครั้งใดไม่ปรากฏ มีความสำคัญขึ้นมาในสมัยรัชกาลที่
4 เมื่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรี
ได้สร้างพระพุทธรูปปางสมาธิองค์ใหญ่เป็นปูนขาวไม่ปิดทองไว้กลางแจ้ง ณ
วัดแห่งนี้ ถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เสด็จฯ มานมัสการและโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์วัดไชโย
ในปี พ.ศ. 2430 แต่แรงสั่นสะเทือนระหว่างการลงรากพระวิหารทำให้องค์หลวงพ่อโตพังลงมาจึงโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างหลวงพ่อโตขึ้นใหม่ตามแบบหลวงพ่อโต วัดกัลยาณมิตร มีขนาดหน้าตักกว้าง
16.10 เมตร สูง 22.65 เมตร แล้วพระราชทานนามว่า พระมหาพุทธพิมพ์ มีการจัดงานฉลองนับเป็นงานใหญ่ที่สุดของจังหวัดอ่างทองในสมัยนั้น
องค์หลวงพ่อโตประดิษฐานอยู่ในพระวิหารที่มีความสูงใหญ่สง่างามแปลกตากว่าวิหารแห่งอื่นๆ
พุทธศาสนิกชนจากที่ต่างๆ มานมัสการอย่างไม่ขาดสายติดกับด้านหน้าพระวิหาร
มีพระอุโบสถหันด้านหน้าออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมไทยอันงดงามเช่นกัน
ภายในพระอุโบสถมีภาพจิตกรรมฝาผนังเรื่องพุทธประวัติ ฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่
5 ปัจจุบันวัดไชโยวรวิหารได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่จนมีความงามอย่างสมบูรณ์ยิ่ง
วัดสระเกศ ตั้งอยู่ที่ตำบลชัยภูมิ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทิศตะวันออก
ห่างจากอำเภอเมืองอ่างทอง ประมาณ 15 กิโลเมตร เป็นวัดเก่าตั้งแต่สมัยอยุธยา
ตำบลชัยภูมินี้เดิมชื่อ บ้านสระเกศ ขึ้นอยู่กับแขวงเมืองวิเศษชัยชาญ
มีกล่าวไว้ในพระราชพงศาวดารว่าเมื่อ พ.ศ. 2128 พระเจ้าเชียงใหม่ ยกทัพมาตั้งค่ายอยู่ที่บ้านสระเกศ
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถ ได้เคยเสด็จพระราชดำเนินมา
ณ วัดสระเกศ เมื่อปี พ.ศ. 2513 เพื่อทรงบำเพ็ญพระราชกุศลบวงสรวงสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
วัดโพธิ์หอม (วัดป่าหัวพัน)
ตั้งอยู่ที่ตำบลราชสถิตย์ ห่างจากอำเภอเมืองอ่างทองราว 12 กิโลเมตร ไปตามเส้นทางอ่างทอง-สิงห์บุรี
แล้วมีทางแยกเข้าไปอีก 2 กิโลเมตร วัดนี้เดิมเป็นวัดร้างสร้างมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา
วัดใหม่เพิ่งจะเริ่มสร้างเมื่อ 10 ปีมานี้ สิ่งที่น่าสนใจในวัดนี้คือ
รูปพรหมสี่หน้าปูนปั้นขุดได้ภายในวัด มีขนาดใหญ่ 2 เศียร ประดับบนพานด้านหน้าฐานพระอุโบสถเดิมลักษณะศิลปะเป็นแบบขอมซึ่งอาจใช้เป็นส่วนของยอดประตู
เหมือนกับที่เคยพบว่าสร้างเป็นยอดประตูพระราชวังสมัยกรุงศรีอยุธยา
สถานที่น่าสนใจ ในเขตอำเภอโพธิ์ทอง
วัดโพธิ์ทอง อยู่ที่บ้านโพธิ์ทองตำบลคำหยาดตรงข้ามทางเข้าบ้านบางเจ้าฉ่า
ห่างจากอำเภอเมืองไปตามเส้นทางสาย อ่างทอง-โพธิ์ทองประมาณ 9 กิโลเมตร
นามวัดโพธิ์ทองในพระราชพงศาวดารกล่าวว่าเป็นวัดที่ กรมขุนพรพินิต (เจ้าฟ้าอุทุมพร
หรือขุนหลวงหาวัด) เสด็จมาผนวช วัดโพธิ์ทองแห่งนี้ รัชกาลที่ 6 เคยเสด็จมาประทับร้อน
เมื่อคราวเสด็จประพาส ลำน้ำน้อย ลำน้ำใหญ่ มณฑลกรุงเก่า เมื่อ พ.ศ. 2459
พระตำหนักคำหยาด อยู่ในท้องที่ตำบลคำหยาด ถัดจากวัดโพธิ์ทอง
ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 2 กิโลเมตร บนถนนสายเดียวกัน ตัวอาคารตั้งโดดเด่นอยู่กลางทุ่งนา
ก่อด้วยอิฐถือปูนขนาดกว้าง 10 เมตร ยาว 20 เมตร สภาพปัจจุบันมีเพียงฝนัง
4 ด้าน แต่ยังคงเห็นเค้าความสวยงามทางด้านศิลปกรรม เช่น ลอดลายประดับซุ้มจรนำหน้าต่างในคราวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสลำน้ำมะขามเฒ่า
เมื่อ พ.ศ. 2451 ได้เสด็จมายังโบราณสถานแห่งนี้และทรงมีพระราชหัตถเลขาอรรถาธิบายไว้ว่า
เดิมทีทรงมีพระราชดำริว่า ขุนหลวงหาวัด (เจ้าฟ้าอุทุมพร กรมขุนพรพินิต)
ทรงผนวชที่วัดโพธิ์ทองแล้วสร้างพระตำหนักแห่งนี้ขึ้นเพื่อจำพรรษา เนื่อง-จากมีชัยภูมิที่เหมาะสม
ครั้นได้ทอดพระเนตรเห็นตัวพระตำหนักสร้างด้วยความประณีตสวยงามแล้วพระราชดำริเดิมก็เปลี่ยนไป
ด้วยทรงเห็นว่าไม่น่าที่ขุนหลวงหาวัดจะทรงมีความคิดใหญ่โต สร้างที่ประทับชั่วคราวหรือที่มั่นในการต่อสู้ให้ดูสวยงามเช่นนี้
ดังนั้น จึงทรงสันนิษฐานว่า พระตำหนักนี้คงจะสร้างขึ้นตั้งแต่รัชสมัย
สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ เพื่อเป็นที่ประทับแรม เนื่องจากมีพระราชนิยมเสด็จประพาสเมืองแถบนี้อยู่เนืองๆ
เช่นเดียวกับที่พระเจ้าปราสาททองทรงสร้างที่ประทับไว้ที่บางปะอิน ขณะที่กรมขุนพรพินิตผนวชอยู่ที่วัดราชประดิษฐ์
ได้ทรงนำข้าราชบริพารกับพระภิกษุที่จงรักภักดีต่อพระองค์ ออกจากพระนครศรีอยุธยามาจำพรรษาที่วัดโพธิ์ทอง
และประทับอยู่ที่พระตำหนักคำหยาดนี้เพื่อไปสมทบกับชาวบ้านบางระจัน ปัจจุบันนี้กรมศิลปากรได้บูรณะ
และขึ้นทะเบียนพระตำหนักคำหยาดเป็นโบราณสถานไว้แล้ว
วัดขุนอินทประมูล อยู่ในเขตตำบลอินทประมูล การเดินทางไปสามารถใช้เส้นทางได้
3 สาย คือ สายอ่างทอง-อำเภอโพธิ์ทอง (เส้นทาง 3064) แยกขวาที่กิโลเมตร
9 เข้าไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร หรือหากมาจากจังหวัดสิงห์บุรีไปทางอำเภอไชโยประมาณกิโลเมตรที่
8 จะมีทางแยกซ้ายมือเข้าถึงวัดเป็นระยะทาง 4 กิโลเมตร หรือจะใช้เส้นทางตัดใหม่สายอำเภอวิเศษชัยชาญ-โพธิ์ทอง
(ถนนเลียบคลองชลประทาน) เมื่อถึงอำเภอโพธิ์ทองมีทางแยกเข้าวัดอีก 2 กิโลเมตร
วัดนี้เป็นวัดโบราณ พิจารณาจากซากอิฐแนวเขตเดิมคะเนว่าเป็นวัดใหญ่ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ที่ใหญ่และยาวที่สุดในประเทศไทย
มีความยาวถึง 50 เมตร (25 วา) เดิมประดิษฐานอยู่ในวิหาร แต่ถูกไฟไหม้ปรักหักพังไปเหลือแต่องค์พระตากแดดตากฝนนานนับเป็นร้อยๆ
ปี องค์พระนอนมีพุทธลักษณะที่งดงาม พระพักตร์ยิ้มละไม สงบเยือกเย็นน่าเลื่อมใสศรัทธายิ่งนักพระมหากษัตริย์ไทยหลายพระองค์ได้เคยเสด็จมาสักการะบูชา
อาทิเช่น พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เสด็จมาเมื่อ พ.ศ. 2296 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จฯ ในปี พ.ศ. 2221 และ 2451 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันเสด็จฯ
มาถวายผ้าพระกฐินต้นในปี พ.ศ.2516 และเสด็จมานมัสการอีกครั้งในปี พ.ศ.
2518 พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศต่างนิยมมานมัสการเป็นเนืองนิจ นอกจากนี้ภายในบริเวณวัดขุนอินทประมูลยังมีโบราณสถานวิหารหลวงพ่อขาว
ซึ่งเหลือเพียงฐานและผนังบางส่วนและพระพุทธรูป ด้านหน้าพระนอนมีศาลรูปปั้นขุนอินทประมูล
ซึ่งตามประวัติกล่าวว่าเป็นผู้สร้างพระพุทธไสยาสน์
วังปลาวัดข่อย อยู่บริเวณแม่น้ำน้อยหน้าวัดข่อย
หมู่ที่ 1 ตำบลโพธิ์รังนก อยู่ห่างจากจังหวัดอ่างทองประมาณ 12 กิโลเมตร
ตามเส้นทางจังหวัดอ่างทอง-วิเศษชัยชาญ ก็จะพบป้ายวังปลาวัดข่อย แล้วเลี้ยวขวาลัดเส้นทางคลองส่งน้ำชลประทานไปอีกประมาณ
7 กิโลเมตร ปลาที่วัดข่อยนี้มีปริมาณชุกชุมมาตั้งแต่สมัยพระครูสุกิจวิชาญ
(หลวงพ่อเข็ม) เป็นเจ้าอาวาสซึ่งเป็นเวลากว่า 50 ปีแล้ว ต่อมาเมื่อปี
พ.ศ. 2528 พระครูสรกิจจาทร
เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันได้ปรับปรุงสถานที่และประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์น้ำ
ร่วมกับสำนักงานประมงอำเภอโพธิ์ทองและเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดูแลรักษามิให้ปลาถูกรบกวน
ปัจจุบันมีปลานานาพันธุ์ เช่น ปลาสวาย ปลาตะเพียน ปลาเทโพ ปลาแรด ปลาบึก
ฯลฯ อาศัยอยู่รวมกันไม่ต่ำกว่า 50,000 ตัว ทางวัดได้จัดจำหน่ายอาหารปลาให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินกับการให้อาหารปลาและจัดสวนสัตว์ขนาดเล็ก
ตลอดจนร้านจำหน่ายเครื่องดื่มไว้บริการอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่น่าสนใจภายในวัดข่อยมี
มณฑป พระวิหาร เจดีย์ พระอุโบสถ กุฏิ หอสวดมนต์ ศาลาการเปรียญแบบทรงไทยโบราณ
ซึ่งทำมาจากไม้สักเป็นเสาเหลี่ยม 8 เหลี่ยม ตะเกียงจากกรุงวอชิงตันเป็นตะเกียงโบราณนาฬิกาโบราณจากปารีส
และตู้พระไตรปิฎกทำด้วยไม้สักจากประเทศจีนซึ่งมีในสมัยรัชกาลที่ 5 เรือซึ่งเป็นพาหนะที่ใช้ในการเดินทางมีแทบทุกชนิดได้แก่
เรือบด เรือแจว เรือสำปั้น และเรือประทุน เปลกล่อมลูกในสมัยโบราณ มรดกชาวนาซึ่งได้รวบรวมเครื่องมือ
เครื่องใช้ รวมทั้งอุปกรณ์ในการทำนา ได้แก่ เกวียน ล้อ คันไถ อุปกรณ์เครี่องมือการจับสัตว์น้ำ
ไซดักปลา และศูนย์ผลิตข้าวซ้อมมือที่ชาวบ้านทำการจัดตั้งเป็นสหกรณ์ขึ้น
เพื่อทำการจำหน่ายให้แก่ประชาชน
ค้างคาวแม่ไก่วัดจันทาราม
วัดจันทารามเป็นวัดเก่าแก่ ตั้งอยู่ที่บ้านช้าง หมู่ที่ 5 ตำบลโคกพุทรา
ห่างจากที่ว่าการอำเภอโพธิ์ทองไปทางทิศตะวันตก ประมาณ 4 กิโลเมตร การเดินทางใช้เส้นทางสายโพธิ์ทอง-แสวงหาประมาณ
1 กิโลเมตร แล้วแยกซ้ายไปอีก 3 กิโลเมตร ในบริเวณวัดแห่งนี้มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่นจึงเป็นที่อยู่อาศัยและแพร่พันธุ์ค้างคาวแม่ไก่
และนกนานาชนิดมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ค้างคาวแม่ไกเหล่านี้จะออกหากินในเวลากลางคืน
ส่วนเวลากลางวันจะเกาะห้อยหัวอยู่ตามกิ่งไม้เป็นสีดำพรืดมองเห็นแต่ไกลซึ่งผู้สนใจสามารถจะไปชมได้ในทุกฤดูกาล
หมู่บ้านจักสาน งานฝีมือจักสานอันลือชื่อของอ่างทองส่วนมากจะเป็นฝีมือของชาว
อำเภอโพธิ์ทองแทบทุกครัวเรือน ที่ตั้งบ้านเรือนเรียงรายอยู่ทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
มีการจัดตั้งเป็นกลุ่มการผลิตเครื่องจักสาน เครื่องหวาย กลุ่มจักสานไม้ไผ่
เช่น กลุ่มตำบลองครักษ์ กลุ่มตำบลบางเจ้าฉ่า กลุ่มตำบลบางระกำ กลุ่มตำบลพลับ
และกลุ่มตำบลอินทประมูล เป็นต้น แหล่งหัตถกรรมเครื่องจักสานสำคัญที่สมควรไปเที่ยวชม
คือ ที่ บางเจ้าฉ่า ตั้งอยู่ที่หมู่ 8 บ้านยางทอง ตำบลบางเจ้าฉ่าการเดินทางใช้เส้นทางสาย
อ่างทอง-โพธิ์ทอง ประมาณ 9 กิโลเมตร ถึงคลองชลประทานยางมณี จากนั้นเลี้ยวขวาเลียบคลองไปอีกประมาณ
5 กิโลเมตร จึงเลี้ยวขวาไปตามทางเข้าวัดยางทอง แหล่งหัตถกรรมจะตั้งอยู่บริเวณหลังวัด
ที่นี่เป็นแหล่งเครื่องจักสานด้วยไม้ไผ่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี
ได้เคยเสด็จพระราชดำเนินมาเยือนและได้พระราชทานคำแนะนำให้ราษฎรปลูกไม้ไผ่สีสุก
เพื่อเป็นวัตถุดิบในการทำจักสานให้มีปริมาณมากขึ้น ก่อนที่จะมีปัญหาการขาดแคลน
งานจักสานของบางเจ้าฉ่านี้มีความประณีตสวยงามเป็นพิเศษและสามารถพัฒนางานฝีมือตามความนิยมของตลาด
จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นหมู่บ้านตัวอย่างในการพัฒนาอาชีพ นอกจากบางเจ้าฉ่าแล้ว
ห่างจากอำเภอโพธิ์ทองไปอีกประมาณ 4 กิโลเมตร ก็มีผลิตภัณฑ์เครื่องจักสานไม้ไผ่เช่นเดียวกัน
ศูนย์เจียระไนพลอย
อยู่ในบริเวณเดียวกับแหล่งผลิตเครื่องจักสานที่บางเจ้าฉ่า มีศูนย์รวมการเจียระไนพลอยของหมู่บ้านและมีพลอยรูปแบบต่างๆ
ที่สวยงาม
ศูนย์ผลิตเครื่องใช้ประดับมุก
อยู่ที่วัดม่วงคัน ตำบลรำมะสัก มีการผลิตเครื่องใช้ประดับมุกฝีมือประณีต
นอกจากนั้นมีการทำหัตถกรรมในครัวเรือนอีกหลายแห่งเช่นกัน จะมีทั้งชุดโต๊ะเครื่องแป้ง
แจกัน ที่เขี่ยบุหรี่ เป็นต้น
สถานที่น่าสนใจ ในเขตอำเภอวิเศษชัยชาญ
วัดเขียน เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่ง
อยู่ที่หมู่ 8 ตำบลศาลเจ้าโรงทอง ห่างจากอำเภอเมือง 12 กิโลเมตร ภายในพระอุโบสถ
มีภาพเขียนฝาผนังที่งดงามสันนิษฐานว่าเป็นฝีมือช่างสกุลเมืองวิเศษชัยชาญสมัยอยุธยาตอนปลาย
ลักษณะภาพคล้ายกับภาพเขียนที่พระอุโบสถวัดเกาะและวัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี
ซึ่งอยู่ในยุคสมัยเดียวกัน
วัดอ้อย เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองวิเศษชัยชาญ
ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำน้อย ห่างจากวัดเขียนไปทางทิศเหนือประมาณ 2 กิโลเมตร
พระอุโบสถมีลักษณะสวยงามคล้ายกับพระอุโบสถวัดราชบูรณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
นอกจากนี้ในบริเวณพื้นที่ของวัดอ้อย มูลนิธิสร้างสรรค์เด็กได้เปิดบ้านรับรองให้ที่พึ่งพักพิงแก่เด็กมีปัญหา
เด็กเร่ร่อนติดยา หรือประพฤติผิดกฏหมายมาก่อนชื่อว่า บ้านเด็กใกล้วัด
เพื่อช่วยให้เด็กเหล่านี้มีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นได้สัมผัสธรรมชาติและมีพระสงฆ์ช่วยเหลือบำบัดทางด้านจิตใจด้วย
วัดสี่ร้อย อยู่ริมฝั่งแม่น้ำน้อย
หมู่ที่ 4 ตำบลสี่ร้อย บนเส้นทางสายโพธิ์พระยา-ท่าเรือ หรืออ่างทอง-วิเศษชัยชาญ
ห่างจากอำเภอเมืองอ่างทองไปทางทิศตะวันตกประมาณ 12.5 กิโลเมตร แล้วแยกซ้ายมือไปตามถนนคันคลองชลประทานอีก
5 กิโลเมตร วัดแห่งนี้ มีพระพุทธรูปปางป่าเล-ไลยก์ สูง 21 เมตร หน้าตักกว้าง
6 เมตรเศษ เรียกนามว่า หลวงพ่อโต ภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างอยุธยาที่มีความงดงามมากอีกแห่งหนึ่ง
วัดม่วง ตั้งอยู่หมู่ที่
6 ตำบลหัวตะพานระยะทางจากจังหวัดถึงวัดม่วง ประมาณ 8 กิโลเมตร ใช้เส้นทางสายอ่างทอง-สุพรรณบุรี
วัดจะอยู่ทางซ้ายมือ มีพระอุโบสถล้อมรอบด้วยกลีบบัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ภายในมีรูปปั้นเกจิอาจารย์ชื่อดังทั่วประเทศ มีแดนเทพเจ้าไทย แดนนรก
แดนสวรรค์ และแดนเทพเจ้าจีน ซึ่งมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ มีรูปปั้นแสดงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสงครามไทย-พม่า
ที่เมืองวิเศษชัยชาญ และสามารถซื้อผลิตภัณฑ์ของดีเมืองอ่างทองได้ด้วย
อนุสาวรีย์นายดอกนายทองแก้ว
ประดิษฐาน อยู่ที่หน้าโรงเรียนวิเศษชัยชาญ หมู่ที่ 2 ตำบลไผ่จำศีล
ระหว่างกิโลเมตรที่ 26-27 ตามเส้นทางสายศรีประจันต์-วิเศษชัยชาญ เป็นอนุสรณ์สถานที่ชาววิเศษชัยชาญและชาวอ่างทองร่วมกันสร้างเพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีของวีรบุรุษแห่งบ้านโพธิ์ทะเล
ทั้งสองท่านที่ได้สละชีวิตเป็นชาติพลีในการสู้รบกับพม่าที่ค่ายบางระจันอย่างกล้าหาญเมื่อปี
พ.ศ. 2309 อนุสาวรีย์แห่งนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฏราชกุมาร
เสด็จพระราช-ดำเนินแทนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาทรงเปิดเมื่อวันที่
25 มีนาคม พ.ศ. 2520
สถานที่น่าสนใจ ในเขตอำเภอแสวงหา
บ้านคูเมือง อยู่ในท้องที่ตำบลบ้านไผ่
ห่างจากที่ว่าการอำเภอแสวงหา ประมาณ 4 กิโลเมตร และห่างจากค่ายบางระจัน
เพียง 3 กิโลเมตรเศษ ที่บ้านคูเมืองนี้ นักโบราณคดีได้สำรวจพบซากเมืองโบราณที่สันนิษฐานว่าเป็นชุมชนสมัยทวาราวดี
มีร่องรอยเหลือเพียงคูเมืองขนาดกว้างกับเนินดิน ขุดพบเพียงเศษภาชนะเครื่องปั้นดินเผา
กระดูกสัตว์ ลูกปัดและหินบดยา
วัดบ้านพราน ตั้งอยู่ที่ตำบลศรีพราน
เป็นวัดเก่าแก่สร้างในครั้งใดไม่ปรากฏแต่ได้ถูกทิ้งร้างไปจนต้นไม้ปกคลุมหนาทึบ
ต่อมาพวกนายพรานได้มาตั้งหมู่บ้านขึ้นในบริเวณดังกล่าว จึงช่วยกันบูรณะขึ้นมาใหม่
มีประวัติเล่าต่อกันมาว่าพระพุทธรูปศิลาแลงในพระวิหารนั้นพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นผู้สร้างที่เมืองสุโขทัย
แล้วถอดเป็นชิ้นมาประกอบเป็นองค์ที่วัดบ้านพรานเพื่อให้เป็นพระประธานแต่ผู้สร้างวัดต้องการสร้างพระประธานขึ้นเอง
จึงได้นำไปประดิษฐานไว้ในพระวิหารพระพุทธรูปองค์นี้ ชาวบ้านเรียกว่า
หลวงพ่อไกรทอง เชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์สามารถคุ้มภัยแก่ผู้ไปสักการะบูชา
วัดยาง อยู่ในท้องที่ตำบลห้วยไผ่
สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยอยุธยาตอนปลายยังคงมีซากโบราณสถาน คือ พระอุโบสถซึ่งมีฐานโค้ง
มีพระพุทธรูปศิลาทราย พระพุทธรูปปูนปั้นที่ชำรุดอยู่จำนวนหนึ่งและใบเสมาหิน
ทางทิศใต้ของวัดประมาณครึ่งกิโลเมตร มีเนินดินซึ่งเคยพบพระเครื่องจำนวนมาก
จากการที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านบางระจันมากนัก จึงสันนิษฐานว่า บริเวณนี้คงเป็นสถานที่ซ่อนสมบัติของมีค่าของคนไทยในสมัยนั้น
สวนนกธรรมชาติ อยู่ในบริเวณหมู่ที่
2 บ้านริ้วหว้า ตำบลบ้านพราน ระยะทางห่างจากจังหวัดอ่างทอง 24 กิโลเมตร
ใช้เส้นทางสายโพธิ์ทอง-แสวงหา 18 กิโลเมตร แล้วแยกเข้าที่บ้านตำบลหนองแม่ไก่
ถึงโรงเรียนหนองแม่ไก่ แล้วเดินทางไปตามถนนลูกรังอีก 6 กิโลเมตร ก็จะถึงบริเวณวัดริ้วหว้าซึ่งมีนกท้องนาปากห่าง
นกกระสา นกกาน้ำ นกกระเต็น นกอีเสือ ฯลฯ บางชนิดก็ใกล้จะสูญพันธุ์และหาชมได้ยากในท้องถิ่นอื่น
สถานที่น่าสนใจ ในเขตอำเภอสามโก้
อำเภอสามโก้ อยู่ห่างจากจังหวัดอ่างทองประมาณ
25 กิโลเมตร แม้เป็นอำเภอเล็กๆ ซึ่งเดิมเป็นตำบลหนึ่งขึ้นกับอำเภอวิเศษชัยชาญ
ได้ยกฐานะเป็นกิ่งอำเภอและเป็นอำเภอเมื่อ พ.ศ.2508 ความสำคัญในประวัติศาสตร์ได้ปรากฏในพงศาวดารว่า
เป็นเส้นทางที่พม่าเดินทัพจากด่านเจดีย์สามองค์ผ่านเข้ามาตั้งค่ายพักแรมก่อนเข้าตีกรุงศรีอยุธยา
และเป็นที่ซึ่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและพระเอกาทศรถ เคยเสด็จนำทัพหลวงผ่านบ้านสามโก้แห่งนี้เพื่อทรงทำสงครามยุทธหัตถี
ที่ตำบลตระพังตรุ จังหวัดสุพรรณบุรี จนทรงได้รับชัยชนะด้วยเช่นกัน ปัจจุบัน
สามโก้เป็นอำเภอที่น่าสนใจมากอำเภอหนึ่งในแง่ประเพณี และศิลปะพื้นบ้าน
กล่าวคือ สามโก้ได้มีพื้นที่การเกษตรบางส่วนที่เปลี่ยนจากพื้นที่ทำนาเป็นพื้นที่ทำการเกษตรด้านอื่น
เช่น การทำนาบัว การทำสวนมะพร้าวพันธุ์ดี และการทำไร่นาสวนผสม ซึ่งเกษตรกรรู้จักพัฒนาอาชีพด้วยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่
มาปรับปรุงผลผลิตทางการเกษตรให้มีทั้งคุณภาพและปริมาณ สามารถทำรายได้อย่างน่าพอใจ
นอกจากนี้สามโก้ยังได้เป็นถิ่นแดนของเพลงพื้นเมืองที่มีพ่อเพลงและแม่เพลง
ที่มีบทบาทในการฟื้นฟูการละเล่นและอนุรักษ์เพลงพื้นบ้านอีกด้วย
งานเมืองอู่ข้าวอู่น้ำและงานกาชาดประจำปี
เป็นงานประจำปีของชาวอ่างทองที่จัดขึ้นหลังฤดูเก็บเกี่ยว ช่วงปลายเดือนมีนาคมของทุกปี
มีกิจกรรมที่น่าสนใจหลายอย่างทั้งด้านการแสดงทางวัฒนธรรม การแสดงนิทรรศการ
การแสดงจำหน่ายและสาธิตหัตถกรรมพื้นบ้าน การออกร้าน การประกวดกุลสตรีเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ
การประกวดพืชผลทางการเกษตร และการแข่งขันกีฬาชาวนา รวมทั้งมหกรรมต่างๆ
มากมาย งานนี้จัดบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดอ่างทอง 5 วัน 5 คืน
งานประเพณีแข่งเรือยาววัดไชโย
จัดการแข่งขันขึ้นบริเวณลำน้ำหน้าวัดไชโยวรวิหาร อำเภอไชโย เป็นการประชันเรือยาวที่มีชื่อเสียงระดับประเทศจัดพร้อมกับงานนมัสการ
และสมโภชสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) และพระมหาพุทธพิมพ์ โดยจัดขึ้นราวเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนของทุกปี
โดยการแข่งขันเรือจะเสร็จสิ้นใน 1 วัน
งานประเพณีแข่งเรือยาววัดป่าโมก
จัดขึ้นบริเวณวัดป่าโมกวรวิหาร อำเภอป่าโมก ใน ช่วงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี
พร้อมกับงานนมัสการและสมโภชพระพุทธไสยาสน์และพระพุทธบาท 4 รอย
ผลไม้ตามฤดูกาล ได้แก่ มะม่วง ส้มโอ
ฝรั่ง มะละกอ
ผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ ได้แก่ กุ้งก้ามกราม ปลาเนื้ออ่อน ปลายี่สก
ปลาน้ำเงิน
อาหารแปรรูปต่างๆ ได้แก่ เนื้อทุบและไข่เค็ม อำเภอไชโย ปลาแห้งเสียบไม้รมควัน
ปลาตากแห้ง ปลากรอบ
ขนมหวาน ที่เป็นของฝากซึ่งได้รับความนิยมมาก คือ ขนมเกสรลำเจียก
จากอำเภอวิเศษชัยชาญ และขนมกง อำเภอเมือง
ผลิตภัณฑ์หัตถกรรม ได้แก่ เครื่องจักสาน บ้านเจ้าฉ่า อำเภอโพธิ์ทอง
กลอง และตุ๊กตาชาววัง อำเภอป่าโมก เครื่องเรือนจำลอง
สำนักงานจังหวัดอ่างทอง โทร. (035) 611235
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคกลาง เขต 6
ถนนศรีสรรเพชญ์ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13000 โทร.
(035) 246076-7 โทรสาร (035) 246078 (พื้นที่ความรับผิดชอบ : พระนครศรีอยุธยา
ปทุมธานี นนทบุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง สระบุรี)
|