รุงเทพมหานคร หรือ บางกอก เมืองหลวงของประเทศไทยเริ่มก่อตั้งภายหลังจากที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงครองราชย์ปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชจักรีวงศ์ เมื่อวันเสาร์ที่ 6 เมษายน เดือนห้า แรม 9 ค่ำ ปีขาล พ.ศ. 2325 พระองค์ได้โปรดฯ ให้สร้างพระราชวังทางคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นแนวคูเมือง ทางด้านตะวันตกและด้านใต้ อาณาเขตของกรุงเทพฯ ในขั้นแรกถือเอาแนวคูเมืองเดิมฝั่งตะวันออกของกรุงธนบุรี คือแนวคลองหลอด ตั้งแต่ปากคลอง ตลาดจนออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณสะพานพระปิ่นเกล้า เป็นบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์ มีพื้นที่ประมาณ 1.8 ตารางกิโลเมตร บริเวณที่สร้างพระราชวังนั้นเดิมเป็นที่อยู่อาศัยของพระยาราชเศรษฐีและชาวจีน ซึ่งได้โปรดให้ย้ายไปอยู่ที่สำเพ็ง ในการก่อสร้างพระราชวังโปรดให้พระยาธรรมาธิบดี กับพระยาวิจิตรนาวีเป็นแม่กองคุมการก่อสร้าง ได้ตั้งพิธียกเสาหลักเมือง เมื่อวันอาทิพย์ เดือน 6 ขึ้น 10 ค่ำ ย่ำรุ่งแล้ว 54 นาที (21 เมษายน 2325) พระราชวังแล้วเสร็จเมือง พ.ศ. 2328 จึงได้จัดให้มีพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบแผนรวมทั้งงานฉลองพระนคร โดยพระราชทานนามพระนครใหม่ว่ากรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตาลสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์” ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเปลี่ยนคำว่า “บวรรัตนโกสินทร์” เป็น “อมรรัตนโกสินทร์” และในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้รวมจังหวัดธนบุรีเข้าไว้ด้วยกันกับกรุงเทพฯ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น “กรุงเทพมหานคร” เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2515
               กรุงเทพฯ มีเนื้อที่ 1,568.737 ตารางกิโลเมตร แบ่งการปกครองออกเป็น 50 เขต คือ พระนครป้อมปราบศัตรูพ่าย ปทุมวัน สัมพันธวงศ์ บางรัก ยานนาวา สาธร บางคอแหลม บางซื่อ ดุสิต พญาไท ราชเทวี หัวยขวาง ดินแดง ประเวศ สวนหลวง จตุจักร ลาดพร้าว หนองจอก ลาดกระบัง ธนบุรี คลองสาน บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ บางพลัด จอมทอง ราษฎร์บูรณะ ทุ่งครุ หนองแขม พระโขนง บางนา คลองเตย วัฒนา บางเขน สายไหม ดอนเมือง หลักสี่ บางกะปิ วังทองหลาง บึงกุ่ม คันนายาว สะพานสูง มีนบุรี คลองสามวา ภาษีเจริญ บางแค บางขุนเทียน บางบอน ตลิ่งชัน ทวีวัฒนา

สถานที่ท่องเที่ยว

          พระบรมมหาราชวัง รัชกาลที่ 1 ทรงย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีมาที่กรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. 2325 ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังขึ้นใหม่โดยในบริเวณพระบรมมหาราชวังเมื่อแรกสร้างประกอบด้วย 3 ส่วนคือ พระมหาปราสาท พระราชมณเฑียรสถาน และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีเนื้อที่ 132 ไร่ ลักษณะแบบแผนการก่อสร้างคล้ายคลึงกับพระบรมมหาราชวังเก่าในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีวัดพระศรีรัตนศาสดารามอยู่ในบริเวรวังเหมือนกับวัดพระศรีสรรเพชญในสมัยกรุงศรีอยุธยา บรรดาหมู่พระที่นั่งที่สำคัญมีดังนี้คือ

          พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เดิมชื่อพระที่นั่งอินทราภิเษกมหาปราสาทใช้ประกอบพระราชพิธีสำคัญ เช่น พระราชพิธีการมงคล และบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ 

          พระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ปราสาท อยู่ใกล้กับพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทใช้เป็นที่ประทับทรงพระราชพาหนะและประทับเปลื้องเครื่อง ในงานพระราชพิธีที่มีขบวนแห่

          พระที่นั่งพิมานรัตยา สร้างเมื่อ พ.ศ. 2332 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้เป็นที่ชุมนุมมหาสมาคมสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชบริพารฝ่ายใน เข้ารับพระราชทานอิสริยยศและเครื่องราชอิสริยาภรณ์

          พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท สร้างในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2419 ใช้เป็นที่รับรองพระราชอาคันตุกะชั้นพระราชาธิบดี หรือชั้นประมุขของรัฐ นอกจากนี้ยังมีหมู่พระที่นั่งที่สำคัญอื่นๆ เช่น พระที่นั่งราชกรัณยสภา พระที่นั่งมูลสถานบรมอาสน์ พระที่นั่งสมมติเทวราชอุปบัติ พระที่นั่งบรมราชสถิตย์มโหฬาร พระที่นั่งจักรพรรดิพิมานพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ฯลฯ  
          วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว ตั้งอยู่ตรงมุมตะวันออกเฉียงเหนือของพระบรมมหาราชวัง เป็นที่ประดิษฐานพระมหามณีรัตนปฏิมากรและใช้เป็นที่ประกอบพระราชพิธีทางศาสนาที่สำคัญ วัดพระแก้วสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2327 วัดนี้เป็นวัดพุทธาวาส ภายในพระอุโบสถและระเบียงรอบวัดมีภาพเขียนฝาผนังสวยงามมาก วัดพระศรีรัตนศาสดารามได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์มาตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 1-9 ตลอดทุกรัชกาล สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดได้แก่ หอพระเทพบิดร (เปลี่ยนชื่อเป็นปราสาทพระเทพบิดรในสมัยรัชกาลที่ 6) พระปรางค์ 8 องค์ พระศรีรัตนเจดีย์ ปราสาทนคร วัดจำลอง ฯลฯ  

           ศาลาเครื่องราชอิสริยยศและเหรียญกษาปณ์ ตั้งอยู่ภายในบริเวณพระบรมมหาราชวัง ด้านขวามือก่อนถึงทางเข้าพระราชวังส่วนในจัดแสดงเหรียญกษาปณ์และเงินตราที่ใช้ในประเทศไทย รวมทั้งเครื่องราชอิสริยาภรณืของสำนักฝ่ายในเปิดให้เข้าชมทุกวันเวลา 09.00 น.-15.30 น. ไม่เสียค่าเข้าชม ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 225-0968 พระบรมมหาราชวังเปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30 น.-15.30 น. โดยไม่เสียค่าเข้าชม(สำหรับชาวต่างประเทศจะต้องเสียค่าเข้าชม 125 บาท ซึ่งรวมบัตรเข้าชมศาลาเครื่องราชอิสสริยยศและเหรียญกษาปณ์ ค่าเข้าชมพระที่นั่งวิมานเมฆและพระที่นั่งอภิเษกดุสิตด้วย) รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ โทร. 222-0094, 222-2208, 222-6889, 224-3273

          ศาลหลักเมือง ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับวัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นประเพณีเก่าแก่ของชาติไทย เมื่อจะสร้างบ้านเมือง ต้องมีการฝังเสาหลักเมืองรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีฝั่งเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ เมืองวันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 บรรจุดวงชะตาของกรุงเทพฯ ไว้ภายในเสาหลักเมืองทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ เส้นผ่าศูนย์กลาง 75 เซนติเมตร สูง 27 เซนติเมตร แล้วสร้างใหม่ในรัชกาลที่ 4 แทนของเดิมที่ชำรุดเป็นไม้ชัยพฤกษ์สูง 108 นิ้ว ฐานเป็นแท่นกว้าง 70 นิ้ว มีอาคารยอดปรางค์อย่างที่เห็นในปัจจุบัน ภายในศาลหลักเมืองยังมีเทวรูปเจ้าพ่อสำคัญอีก 5 องค์คือ เทพารักษ์ เจ้าพ่อหอกลอง พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง เจ้าพ่อเจตคุปต์ และพระกาฬไชยศรี  

          สนามหลวง หรือ ทุ่งพระเมรุ เป็นสนามกว้างอยู่ใกล้กับกำแพงพระราชวังหลวง และติดกับกำแพงวังหน้า ด้านทิศตะวันออก เมื่อแรกสร้างกรุงเทพฯ บริเวณนี้เป็นที่ทำนาของประชาชน เพิ่งจะมาเลิกในสมัยรัชกาลที่ 4 นอกจากจะใช้เป็นที่นาแล้ว ที่แห่งนี้ยังใช้เป็นที่ตั้งพระเมรุเผาศพของเจ้านายจึงเรียกกันติดปากว่าทุ่งพระเมรุ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่านามนี้ไม่เป็นมงคล จึงโปรดเกล้าฯ ให้เรียกใหม่ว่า “ท้องสนามหลวง” สืบมาจนในสมัยรัชกาล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้รื้อกำแพงป้อมปราการของวังหน้า ทิศตะวันออกลงขยายพื้นที่สนามหลวงให้กว้างดังเช่นปัจจุบันมีเนื้อที่ 78 ไร่ ใช้เป็นที่ตั้งพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดิน พระราชวงศ์ และเจ้านายชั้นสูง รวมทั้งเป็นที่ประกอบพระราชพิธีการกีฬา ทั้งยังทรงโปรดฯ ให้ปลูกต้นมะขามไว้ดดยรอบสนามหลวงจำนวน 365 ต้นอีกด้วย  

          วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือที่เรียกว่าวัดโพธิ์ อยู่ที่ถนนมหาราชเป็นวัดเก่าแก่ซึ่งพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ได้เล่าเรียนพระปริยัติธรรม วัดนี้ถือเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 1 ครั้นถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวครองราชย์ ได้โปรดฯ ให้บูรณะวัดโพธิ์ใหม่ทั้งหมด ได้นำเอาตำราวิชาการด้านต่างๆ มาจารึกไว้โดยรอบ เพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชน ถือได้ว่าวัดโพธิ์เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย นอกจากนี้ที่วัดโพธิ์ยังมีพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 ก่ออิฐถือปูนปิดทองทั้งองค์ ยาว 49 เมตร สูง 12 เมตร ที่ฝ่าพระบาทแต่ละข้างมีลวดลายประดับมุกเป็นภาพมงคล 108 ประการ อันเป็นลักษณะอย่างหนึ่งของมหาบุรุษตามคติของอินเดีย  

          วัดอรุณราชวราราม ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรีถนนอรุณอัมรินทร์เป็นวัดที่มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อวัดแจ้ง ต่อมาเมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีย้ายราชธานีจากกรุงศรีอยุธยามาตั้ง ณ กรุงธนบุรีได้โปรดฯ ให้กำหนดเอาวัดแจ้งเป้นวัดในเขตพระราชฐานใช้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่ได้อัญเชิญมาจากเวียงจันทร์ วัดนี้ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 2 ซึ่งถือว่าเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 2 เมื่อบูรณะเสร็จแล้วได้พระราชทานนามว่า วัดอรุณราชธารามหรือ วัดแจ้ง มีจุดเด่นที่น่าสนใจคือพระปรางค์องค์ใหญ่ซึ่งมีความสูง 82 เมตร กว้าง 234 เมตร เริ่มก่อสร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 เสร็จสมบูรณ์ในสมัยรัชกาลที่ 4 และได้เปลี่ยนชื่อเป็น “วัดอรุณราชวราราม” จัดเป็นพระอารามหลวง ชั้นวรมหาวิหาร เรียกชื่อเต็มว่า “วัดอรุณราชวรมหาวิหาร”

          วัดราชบูรณะ ตั้งอยู่เชิงสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์ฝั่งกรุงเทพฯ วัดนี้เป็นวัดหนึ่งในจำนวนวัดสำคัญประจำเมืองเอก 3 วัด (วัดเอกประจำเมือง ได้แก่ วัดราชบูรณะ วัดราชประดิษฐ์ และวัดมหาธาตุ) วัดราชบูรณะนี้เป็นวัดเก่าแก่เดิมชื่อ วัดเลียบ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ได้ทรงปฏิสังขรณ์ใหม่เสร็จแล้วพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพระราชทานนามว่า “วัดราชบูรณะ” วัดนี้ได้รับการบูรณะมาตลอดตั้งแต่รัชกาลที่ 1-7 เว้นรัชกาลที่ 6 รัชกาลเดียว ในคราวสงครามมหาเอเซียบูรพา สถานที่สำคัญๆ ของวัดถูกระเบิดพังเกือบหมด โดยเฉพาะพระอุโบสถที่มีภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือขรัวอินโข่ง ถูกระเบิดทำลายจนหมด ปัจจุบันวัดราษฎร์บูรณะ ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่ดังที่เห็นในปัจจุบัน  

          วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม อยู่ที่ถนนราชบพิธบริเวณวัดนี้เดิมเป็นวังของพระบรมวงศ์เธอ กรมหลวง บดินทร ไพศาลโสภณ วัดราชบพิธฯ เริ่มก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2412 (สมัยรัชกาลที่ 5) เสร็จในปี พ.ศ. 2413 แล้วนิมนต์พระสงฆ์ จากวัดโสมนัสวรวิหารมาจำพรรษาอยู่ พร้อมกับอัญเชิญพระพุทธนิรันตรายมาประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถด้วยสิ่งที่น่าสนใจภายในวัดได้แก่ บานประตูและหน้าต่างของพระอุโบสถที่มีลายไทยลงรักประดับมุกเป็นรูปดวงตราเครื่องราชอิสริยภรณ์ต่างๆ สวยงามมาก

          วัดเทพธิดาราม อยู่ที่ถนนมหาไชย วัดนี้เป็นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดฯ ให้สร้างขึ้นพระราชทานแก ่กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพเมื่อปี พ.ศ. 2379 เสร็จในปี พ.ศ. 2382 ได้รับพระราชทานนามวัดเทพธิดาราม สิ่งที่น่าสนใจวัดนี้ ได้แก่พระปรางค์ทิศทั้งสี่ เป็นฝีมือช่างในสมัยรัชกาลที่ 3 บุษบกที่รองรับพระประธานภายในโบสถ์ ที่ประดิษฐ์อย่างสวยงาม และที่ผนังพระอุโบสถมีภาพเขียนเป็นรูปพุ่มข้าวบิณฑ์แบบอย่างในรัชกาลที่ 3 นอกจากนี้ระหว่าง พ.ศ. 2383-2385 วัดนี้เคยเป็นที่พำนักของสุนทรภู่กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อคราวบวชเป้นพระภิกษุ ปัจจุบันยังมีกุฏิหลังหนึ่งเรียกว่า “บ้านกวี” เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ผู้สนใจเข้าขมได้ทุกวัน  

          วัดราชนัดดารามวรวิหาร อยู่ที่ถนนมหาไชย สร้างเมื่อ พ.ศ. 2389 เป็นวัดที่รัชกาลที่ 3 โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่ พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้า โสมนัสวัฒนาวดี โดยในการก่อสร้างครั้งนี้ มีเจ้าพระยายมราชเป็นแม่กองออกแบบและจัดหาที่ เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์เป็นแม่กองสร้างโลหะปราสาทที่วัดนี้แปลกกว่าวัดอื่น คือโปรดฯ ให้สร้างธรรมเจดีย์ปราสาทแทนการสร้างพระเจดีย์ (นับเป็นแห่งที่ 3 ของโลก) มีความสูง 36 เมตร ประกอบด้วย เจดีย์ล้อมรอบ 37 องค์เพื่อให้เท่ากับ “โพธิปักขียธรรม 37 ประการ” ในปัจจุบันนี้โลหะปราสาทแห่งนี้เหลืออยู่เพียงแห่งเดียวในโลก เพราะโลหะปราสาท ที่ประเทศอินเดียและศรีลังกา ได้ปรับหักพังไปหมดแล้ว  

          วัดมหาธาตุราชรังสฤษดิ์ ตั้งอยู่ริมสนามหลวง ถนนหน้าพระธาตุ เดิมชื่อวัดสลัก กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทโปรดให้สร้างขึ้นใหม่ พร้อมๆ กับพระบรมมหาราชวัง แล้วพระราชทานนามว่า “วัดนิพพานาราม” ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดพระศรีสรรเพชรญ์” เคยใช้เป็นที่สังคายนาพระไตรปิฏก หลังจากกรมพระราชวังบวรฯเสด็จสวรรคตแล้วพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงเปลี่ยนนามพระอารามใหม่ว่า“วัดมหาธาตุ” ส่วนคำว่า“ยุวราชรังสฤษดิ์”มาเติมในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวหลังจากทรงปฏิสังขรณ์แล้ว วัดนี้มีมหาวิทยาลัยสงฆ์ชื่อ “มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย”  

          วัดบวรนิเวศวิหาร อยู่ที่ถนนพระสุเมรุ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยมีกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ เป็นแม่กองก่อสร้างเคยเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4,6,7 และ 9 เมื่อคราวทรงผนวช สิ่งที่น่าชมในวัดนี้ได้แก่ พระพุทธชินสีห์ พระรูปสมเด็จพระสมเจ้า 2 องค์คือ สมเด็จกรมพระยาปวเสศวิยาลงกรณ์และสมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรส นอกจากนี้ก็มีจิตรกรรมฝาผนังฝีมือขรัวอินโข่ง ตำหนักปั้นหยา และพระศาสดา พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย ซึ่งพระมหาธรรมราชาลิไททรงสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1900  

          วัดสะเกศ อยู่นอกกำแพงเมือง ริมคลองมหานาค ตรงที่บรรจบกับคลองบางลำพู เดิมเป็นวัดเก่าชื่อวัดสะแก ได้รับการสถาปนาขึ้นใหม่ทั้งพระอารามในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระราชทานนามว่าวัดสระเกศ ส่วนเจดีย์ภูเขาทองนั้นเริ่มสร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงเลียนแบบมาจากภูเขาทองในสมัยกรุงศรีอยุธยา แล้วเสร็จในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รับพระราชทานนามว่า “สุวรรณบรรพต” สูง 77 เมตร บนยอดสุวรรณบรรพตเป็นที่ตั้งของพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ขุดค้นพบที่เมืองกบิลพัสดุ์ และพิสูจน์ได้ว่าเป็นของพระสมณโคดมซึ่งเป็นส่วนแบ่งของพระราชวงศ์ศากยราชเพราะมีคำจารึกอยู่ พระองค์เจ้าปฤษฏางค์ขณะนี้กำลังทรงผนวชอยู่ที่อินเดีย ส่งพระบรมสารีริกธาตุเข้ามาถวยในฐานะที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นกษัตริย์เพียงพระองค์เดียวที่เป็นพุทธมามกะอยู่ในขณะนั้น  

          วัดสุทัศน์เทพวราราม ตั้งอยู่ที่ถนนบำรุงเมือง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมีพระราชประสงค์จะสร้างพระวิหารให้มีขนาดใหญ่เท่ากับพระวิหารวัดพนัญเชิง เป็นศรีสง่าแก่พระนคร ได้พระราชทานนามไว้ว่า “วัดมหาสุทธาวาส” แต่สร้างยังมิทันสำเร็จ ได้เสด็จสวรรคตเสียก่อน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิสหล้านนภาลัยได้ทรงดำเนินงานต่อ และพระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดสุทัศน์เทพวราราม” สร้างเสร็จสมบูรณ์ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่วัดสุทัศน์ไม่มีเจดีย์เหมือนวัดอื่นๆ เพราะมีสัตตมหา สถานเป็นอุเทสิกเจดีย์ (ต้นไม้สำคัญในพุทธศาสนา 7 ชนิด) แทนที่อยู่แล้ว สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดได้แก่ พระศรีศากยมุนี (หลวงพ่อโต) พระประธานของวัดที่ได้ชะลอมาจากวิหารหลวงวัดมหาธาตุเมืองสุโขทัย และบานประตูพระวิหาร ซึ่งเป็นศิลปกรรมชั้นเยี่ยม ทางด้านการแกะสลักในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะคู่ที่เป็นฝีพระหัตถ์ของพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้นำไปเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ 

          เสาชิงช้า ศาสนาพราหมณ์มีความเกี่ยวพันกับชีวิตชาวไทยอยู่มากเมื่อสร้างกรุงเทพฯ เสร็จแล้วจึงมีการสร้าง โบสถ์พราหมณ์และเสาชิงช้า เดิมตั้งอยู่ริมถนนบำรุงเมือง ทางจะเลี้ยวไปถนนดินสอ มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2327 ย้ายมาตั้งในที่ปัจจุบัน เมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 บริษัทหลุยส์ ที.เลียวโนแวนส์ ซึ่งเป็นบริษัทค้าไม้ได้อุทิศซุงไม้สักเพื่อสร้างเสาชิงช้าใหม่ เสร็จเรียบร้อยเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2463 ซ่อมใหม่เมื่อ พ.ศ. 2502 มีส่วนสูงทั้งหมด 21.12 เมตร เสาชิงช้านี้ใช้พิธีตรียัมปวาย หรือพิธีโล้ชิงช้าในศาสนาพราหมณ์ ซึ่งจัดให้มีในเดือนยี่ของทุกๆ ปี เพิ่งจะยกเลิกไปเมื่อ พ.ศ. 2478 นี้เอง   

          วัดเบญจมบพิตร อยู่ที่ถนนศรีอยุธยา เดิมเป็นวัดร้าง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดฯ ให้สร้างวัดเบญจมบพิตรขึ้นแทนวัดเก่า 2 วัดคือ วัดแหลม กับวัดไทรทอง โดยมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศืเธอกรมพระยานริศรานุวัดติวงศืเป็นนายช่างออกแบบ และพระยาราชสงคราม (กร หงสกุล) เป็นนายช่างก่อสร้าง สิ่งที่น่าชมภายในวัดได้แก่ พระอุโบสถ ซึ่งสร้างด้วยหินอ่อนจากประเทศอิตาลี ซึ่งเหลือมาจากการสร้างพระที่นั่งอนันตสมาคม ที่ระเบียงวัดเบญจมบพิตร สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงรวบรวมพระปางต่าง ๆ ที่ได้นำมาจากหัวเมือง 25 องค์ ไว้โดยรอบ นอกจากนี้พระประธานของวัด ได้จำลองพระพุทธชินราชจากวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองพิษณุโลกมาประดิษฐานไว้ด้วย  

          วัดไตรมิตรวิทยาราม อยู่ที่ถนนเจริญกรุง (ใกล้หัวลำโพง) เดิมชื่อวัดสามจีน ภายในวัดมีพระพุทธรูปปูนปั้นองค์หนึ่ง เมื่อคราวเปลี่ยนที่ตั้ง ปูนที่หุ้มอยู่ได้กะเทาะออก เห็นภายในเป็นพระพุทธรูปทองคำ ลักษณะองค์พระเป็นศิลปะสุโขทัย จึงได้ถวายพระนามว่าพระสุโขทัยไตรมิตร เป็นพระพุทธรูปทองคำที่มีส่วนผสมของทองคำสูงมาก เรียกว่าทองเนื้อเจ็ดน้ำสองขา มีขนาดหน้าตักกว้าง 6 ศอก 5 นิ้ว สูง 7 ศอก 1 คืบ 9 นิ้ว  

          วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม ตั้งอยู่ติดกับด้านเหนือสวนสราญรมย์มีเนื้อที่เพียง 2 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา นัยว่าเป็นวัดที่มีเนื้อที่เล็กมากวัดนี้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมีพระราชประสงค์จะให้เป็นวัดธรรมยุติ และเป็นไปตามโบราณประเพณีว่า ในราชธานีต้องมีวัดสำคัญ 3 วัดเสมอ จึงทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ซื้อสวนกาแฟหลวงในรัชกาลที่ 3 สร้างวัดเล็กๆ ขึ้นวัดหนึ่งพระราชทานนามว่า วัดราชประดิษฐ์สถิตธรรมยุติการาม แล้วต่อมาทรงเปลี่ยนชื่อว่า วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดนี้คือ พระวิหารหลวง ซึ่งมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพระราชพิธีสิบสองเดือน ภาพสุริยุปราคาในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้น  

          วัดธรรมมงคล ตั้งอยู่ในซอย 101 ถนนสุขุมวิท บางจาก พระโขนงมีพระมหาเจดีย์สูง 14 ชั้น วัดจากพื้นดินถึงยอดพระเจดีย์ได้ 94.78 เมตร ภายในบรรจุพระเกศา พระอุรังคธาตุ และพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งพระญารวิริยาจารย์เจ้าอาวาสได้อัญเชิญมาจากโคตะมะวิหาร เมืองจิตตะกอง ประเทศบังกลาเทศ เมื่อ พ.ศ.2517 พระวิริยะมงคลมหาเจดีย์ศรีรัตนโกสินทร์นี้ใช้เวลาก่อสร้าง 9 ปี เสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2529 ใช้งบประมาณจากผู้มีจิตศรัทธาบริจาคทั้งสิ้น 70 ล้านบาท 

          วัดอินทรารามวิหาร ตั้งอยู่ที่บางขุนพรหม ถนนวิสุทธิกษัตริย์ สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นที่ประดิษฐาน “พระพุทธศรีอารยเมตรัย” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปยืนขนาดใหญ่ สูง 32 เมตร กว้าง 10 เมตร 24 นิ้ว บนยอดพระเกตุมาลาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุจากศรีลังกาเปิดให้เข้าชมทุกวันโดยไม่เสียค่าเข้าชมใดๆ  

          สถานศึกษาและปฏิบัติธรรม เป็นสถานที่จัดให้ความรู้ในเรื่องพุทธศาสนาและการทำสมาธิ โดยจัดชั้นเรียนสมาธิทุกวันอาทิตย์แรกของเดือน (บรรยายเป็นภาษาอังกฤษ) และชั้นเรียนพุทธศาสนา ทุกวันอาทิตย์ที่สามและอาทิตย์สุดท้ายของเดือน ตั้งแต่เวลา 13.00-18.00 น. ติดต่อได้ที่ สำนักงานใหญ่องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก เลขที่ 33 ถนนสุขุมวิท (ระหว่างซอย 1 และซอย 3) ตั้งแต่วันจันทร์-ศุกร์ โทร. 251-1188-90

          อนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช อยู่บริเวณวงเวียนใหญ่ ถนนประชาธิปก ประดิษฐานอยู่ในลักษณะทรงม้า พระหัตถ์ขวาทรงพระแสงดาบ ส่วนสูงวัดจากพระบาทมาถึงยอดพระมาลา รวม 14 เมตรเศษ ประกอบด้วยชานชลาคอนกรีตสูงจากพื้นดินโดยรอบ 1.70 เมตร ได้ทำการเปิดเป็นปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2497 ในวันที่ 28 ธันวาคม ของทุกปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสร็จไปทรงวางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์นี้ อนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช อยู่บริเวณวงเวียนใหญ่ ถนนประชาธิปก ประดิษฐานอยู่ในลักษณะทรงม้า พระหัตถ์ขวาทรงพระแสงดาบ ส่วนสูงวัดจากพระบาทมาถึงยอดพระมาลา รวม 14 เมตรเศษ ประกอบด้วยชานชลาคอนกรีตสูงจากพื้นดินโดยรอบ 1.70 เมตร ได้ทำการเปิดเป็นปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2497 ในวันที่ 28 ธันวาคม ของทุกปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสร็จไปทรงวางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์นี้  

          อนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ประดิษฐานอยู่ ณ เชิงสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์ ฝั่งพระนคร สร้างขึ้นเมื่องานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 150 ปี เมื่อ พ.ศ. 2475  ทรงเป็นปฐมกษัตริย์ในมหาจักรีบรมราชวงศ์ประสูติ ณ กรุงศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2279 เสด็จขึ้นเสวยราชย์เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 อยู่ในราชสมบัตินาน 27 ปี เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2352 ได้สถาปนากรุงเทพมหานครขึ้นเป็นเมืองหลวงใหม่ของชาวไทยเมื่อปี 2325  

          พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งอยู่บริเวณพลับพลาพระราชพิธี มุมถนนราชดำเนิน บริเวณหน้าวัดราชนัดดารามสร้างขึ้นในปี 2533 โดยกรมศิลปากรเป็นผู้ดำเนินการ เป็นพระรูปหล่อด้วยสำริดประทับบนพระที่นั่งสูงขนาดเท่าครึ่งของพระองค์จริง ภายในบริเวณมีพลับพลาที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อใช้รับราชอาคันตุกะนอกจากนั้นมีศาลาราย 3 หลัง และสวนสาธารณะ  

          พระบรมรูปทรงม้า สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อ พ.ศ. 2451 ด้วยเงินที่ประชาชนได้เรี่ยไรสมทบทุนโดยจ้างนายช่างชาวฝรั่งเศสแห่งบริษัทซุซ เซอรเฟรส ฟองเดอร์ หล่อมาจากกรุงปารีสพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จไปทรงทำพิธีเปิดด้วยพระองค์เอง ส่วนเงินที่เหลือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำไปใช้สร้างมหาวิทยาลัยขึ้นมีนามตามพระปรมาภิไธยว่า “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย”  
          อนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ประดิษฐานอยู่หน้าสวนลุมพินี ผู้ปั้นคือ ศาสตราจารย์ ศิลป พีระศรี ปั้นหล่อเสร็จเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2484 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปทำพิธีเปิดอนุสาวรีย์เมื่อ วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2485  

          อนุสรณ์สถานแห่งชาติ ตั้งอยู่ริมถนนวิภาวดีรังสิต มีเนื้อที่ 38 ไร่ อยู่ในความดูแลของกรมยุทธศึกษาทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2525 และเปิดเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2537 ภายในอาคารมีการจัดแสดงจิตรกรรมฝาผนังแสดงเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของไทย ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยจนมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ มีการจำลองเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ภาพจำหลักนูนต่ำแสดงเรื่องการสร้างเมือง และหุ่นจำลองเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์การสงครามของไทย เปิดให้เข้าชมเฉพาะเป็นหมู่คณะ ในวันและเวลาราชการ รายละเอียดติดต่อ โทร. 532-1021  

          อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ รัฐบาลสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามได้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2484 เพื่อเทิดทูนวีรกรรมของทหาร ตำรวจและพลเรือนที่เสียชีวิตไปในกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศสเรื่องการปรับปรุงพรมแดนไทยกับอินโดจีนใหม่  

           อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อนุสาวรีย์นี้สร้างขึ้น เพื่อเป็นที่ระลึกถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ที่มีองค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุขเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 อนุสาวรีย์นี้ออกแบบโดยศาสตราจารย์ศิลป พีระศรี เริ่มลงมือก่อสร้างเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2482 มีพิธีเปิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2483 ตรงกลางเป็นพานประดิษฐานรัฐธรรมนูญ ซึ่งนับเป็นพานทองแดงที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยสูง 3 เมตร หนัก 4 ตัน

          อนุสาวรีย์ทหารอาสา ตั้งอยู่ ณ มุมสนามหลวงด้านเหนือ เป็นอนุสรณ์แก่ทหารไทยที่ไปร่วมรบในสมร ภูมิยุโรปในสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2457 ประเทศไทยได้ร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรประกาศสงครามกับเยอรมัน และได้ส่งทหารอาสาไปในสมรภูมิใน ยุโรป เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2461 ได้เดินทางกลับเมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2462 และได้นำอัฐิทหารอาสาที่เสียชีวิตมาบรรจุ ณ อนุสาวรีย์นี้เมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2462  

NEXT