ความคิดเห็นที่ 1 โบสถ์แรกที่เราจะไปกันอยู่ระหว่างสถานีรถไฟฟ้า Bugis กับโรงแรม Ibis at Bencoolen ครับ อยู่บนถนน Rochor Road ครับ ชื่อ Church of our Lady of Lourdes จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 10:59:12

ความคิดเห็นที่ 2 พอเลี้ยวตรงหัวมุม Rochor Road ก็เห็นเลยครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:00:46

ความคิดเห็นที่ 3 โบสถ์นี้ถือว่าเป็นโบสถ์ในนิกายคาทอลิกสำหรับชาวอินเดียที่เป็นคริสเตียนแห่งแรกในสิงคโปร์เลยครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:01:33

ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อก่อนนี้ชาวอินเดียที่เป็นคริสเตียนถ้าจะไปโบสถ์เค้าจะไปกันที่ Cathedral of Good Shepherd หรือไม่ก็ Church of Sts Peter and Paul จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:01:55

ความคิดเห็นที่ 5 รัฐบาล Strait Settlements ได้อนุญาตให้ใช้พื้นที่ตรงบริเวณถนน Ophir Road เพื่อสร้าง Church of our Lady of Lourdes แก้ไขเมื่อ 21 มิ.ย. 54 11:02:36 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:02:21

ความคิดเห็นที่ 6 รูปผิดครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:05:05

ความคิดเห็นที่ 7 ออกแบบโดย A.W. Lermitt สถาปนิกแห่งบริษัท Swan & MacLauren จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:05:32

ความคิดเห็นที่ 8 โดยออกแบบในสไตล์ Neo – Gothic เลียนแบบ Basilica ในเมือง Lourdes ประเทศฝรั่งเศส จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:05:58

ความคิดเห็นที่ 9 มีการทุ่มทุนแบบไม่อั้นในการสร้างโบสถ์หลังนี้โดย ซุ้มโค้งยอดแหลม หอคอย เสาค้ำยัน และ เสาภายในโบสถ์ 16 ต้นถูกส่งมาจากประเทศฝรั่งเศส จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:06:39

ความคิดเห็นที่ 10 ภาพประดับกระจกภายในโบสถ์ทำเป็นรูปความมหัศจรรย์ของ “Most Holy Rosary” 15 ประการ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:07:11

ความคิดเห็นที่ 11 และเป็นโบสถ์แห่งเดียวในสิงคโปร์ที่มีการประดับกระจกสีรูปเดียวกับโบสถ์ในฝรั่งเศสดั้งเดิมที่จำลองแบบมา จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:07:35

ความคิดเห็นที่ 12 ตอนแรกนึกว่าเค้าไม่เปิดให้เข้าครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:08:28

ความคิดเห็นที่ 13 ยืนเล็งอยู่นานเรย จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:08:59

ความคิดเห็นที่ 14 พอดีเห็นคนเดินออกมาจากทางข้างๆ ก็เลยเข้าไปแอบดู จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:09:46

ความคิดเห็นที่ 15 ถึงได้เห็นว่าประตูอยู่ด้านข้างครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:10:31

ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อเข้าทางเข้ามาแล้วมองไปด้านข้างนิดนึงจะเห็นบันไดเวียนทำด้วยเหล็กหล่อขึ้นไปสู้ชั้นบนได้ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:10:58

ความคิดเห็นที่ 17 ด้านหน้ามีรูปปั้นนักบวช 2 ท่าน จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:12:15

ความคิดเห็นที่ 18 ไปเที่ยวด้วยค่ะคุณทนาย   จากคุณ : บูตะ กะ กิมจิ เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:12:23

ความคิดเห็นที่ 19 ไม่แน่ใจว่าเป็นใครบ้าง จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:12:42

ความคิดเห็นที่ 20 คุณ : บูตะ กะ กิมจิ  --- เดินตามมาเรยครับบบบ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:13:22

ความคิดเห็นที่ 21 ตามหนังสือเขียนว่า ภายในโบสถ์ตกแต่งที่ปลาเสาด้วยใบไม้สีทอง จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:14:10

ความคิดเห็นที่ 22 แต่เราเห็นของจริงมาใบไม้ถูกทาทับด้วยสีฟ้าหมดเลยครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:14:43

ความคิดเห็นที่ 23 ภายในบริเวณใกล้เคียงกันมีที่อยู่ของพระ โรงเรียนสอนศาสนา ถึงแม้ว่าโบสถ์แห่งนี้จะสร้างขึ้นเพื่อนคริสต์ศาสนิกชนชาวอินเดีย แต่ในปัจจุบันเปิดรับ คริสต์ศาสนิกชนทั่วไปครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:16:00

ความคิดเห็นที่ 24 ในปี 2005 Preservation of Monument Board ได้ประกาศให้ Church of our Lady of Lourdes เป็น National Museum of Singapore จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:17:43

ความคิดเห็นที่ 25 ส่วนสถานที่ที่ 2 ถึงแม้จะไม่ใช่โบสถ์ในศาสนาคริตส์ แต่เป็นวัดในศาสนาฮินดู แต่ก็มีความน่าสนใจเหมือนกันครับ แถมอยู่ด้านหลังโรงแรมเลยครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:19:22

ความคิดเห็นที่ 26 Sri Krishnan Temple จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:23:05

ความคิดเห็นที่ 27 วัด Sri Krishnan เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของสิงคโปร์ สร้างเมื่อ 130 ปีที่แล้วโดย Hanuman Beem Singh ได้สร้างแท่นบูชาใต้ต้นไทรบนถนน Waterloo Street  ในปี 1870 เพื่อเป็นที่เคารพสักการะของชาวฮินดูที่มาจากอินเดียที่อยู่บริเวณถนน Bras Basah Road ถนน Albert Street  และถนน Victoria Street ต่อมาที่บูชาดังกล่าวมีขนาดใหญ่ขึ้นเนื่องจากมีผู้เคารพบูชามากขึ้น การดูแลวัดได้ส่งผ่านจาก Humna Somapah ก่อนที่จะส่งต่อมาถึง Jognee Ammal ในช่วงการดูแลของ Jognee Ammal รูปปั้นถูกส่งมาจากอินเดียใต้เพื่อใช้ประดับ มีการสร้างห้องบูชาหลัก และยอดโดมและแท่นบูชาแห่งนี้ได้รับการสถานปนาให้เป็นวัดเมื่อปี 1933 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:23:24

ความคิดเห็นที่ 28 ในปี 1935 V. Pakirisamy Pallai ผู้ใจบุญ ได้มาเป็นผู้นำของวัด วัด Sri Krishnan ได้พัฒนาเป็นอย่างมาก ในปี 1958 V. Pakirisamy Pallai ได้สร้าง mandapam Hall เพื่อระลึกถึงแม่ของเขา และอาคารประกอบ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:23:50

ความคิดเห็นที่ 29 ในปี 1987 Srivaraman บุตรชายของ  V. Pakirisamy Pallai ได้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์วัด Sri Krishnan ครั้งใหญ่ รวมถึงการสร้างซุ้มประตูทางเข้าให้สวยงามด้วยรูปปั้นสีสันสวยงามที่สั่งนำเข้ามาจากอินเดีย และเพิ่มแท่นบูชาอีก 5 แห่งไว้ตรงการห้องบูชาเพื่ออุทิศแด่พระกฤษณะ และได้มีการเฉลิมฉลองครั้งในเมื่อการบูรณปฏิสังขรณ์เสร็จสิ้นในปี 1989 ต่อมาได้มีการสร้างห้องประชุมอเนกประสงค์ 5 ชั้น และสิ่งก่อสร้างต่างๆภายในวัดก็ได้มีการบูรณะครั้งใหญ่เช่น ซุ้มประตูทางเข้า ในปี 2001 งานเฉลิมฉลองวัดได้จัดขึ้นในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2002 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:24:11

ความคิดเห็นที่ 30 ปัจจุบันนี้วัด  Sri Krishnan ก็ยังคงอยู่ ณ ที่สร้างเป็นครั้งแรก สิ่งก่อสร้างต่างๆภายในวัดถูกสร้างแบบเรียบง่ายแต่ยังคงความงดงามใบแบบฉบับของการตกแต่งวัดในศาสนาฮินดู งามเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีคือ งานเฉลิมฉลองวันประสูติของพระกฤษณะ มีชาวฮินดูมาร่วมงานนับพันคน และ วัด Sri Krishnan ยังเป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมในการจัดงานแต่งงานแบบฮินดูด้วย จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:24:35

ความคิดเห็นที่ 31 ในปัจจุบัน วัด Sri Krishnan ได้กลายเป็นสถานที่สำคัญที่แสดงถึงการอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขของศาสนา 2 ศาสนาในสิงคโปร์ เช่น วัด Kwan Im Tong Hood Cho ที่อยู่ติดกันก็มักจะจัดงานร่วมกันเสมอๆ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:24:59

ความคิดเห็นที่ 32 สำหรับวัดนี้เราไม่ได้เข้าไปข้างในครับ เนื่องจากทราบมาว่าวัดฮินดูเค้าห้ามถ่ายรูปด้านในครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:26:04

ความคิดเห็นที่ 33 มาถึงจุดที่ 3 อยู่ใกล้กับวัด Sri Krishnan Temple นั่นแหละครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:28:25

ความคิดเห็นที่ 34 Middle Road Church Middle Road Church ตั้งอยู่ตรงที่ถนน Middle Road ตัดกับถนน Waterloo Street บางทีเค้าจะเรียกตรงนี้ว่า Sculpture Square ครับ เป็นโบสถ์ชั้นเดียวเล็กๆ สร้างในปี 1875 และเป็นอาคารที่สร้างในศตวรรษที่ 19 ไม่กี่แห่งบริเวณถนน  Middle Road ที่ยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:29:43

ความคิดเห็นที่ 35 Middle Road Church สร้างขึ้นเพื่อสอนศาสนาคริสต์ให้แก่ชาวยุโรป โดย Mr Charles Phillips รู้จักกันในชื่อว่า Christian Institute ในช่วงแรกได้ใช้เป็นโรงเรียนสำหรับเด็กผู้หญิงภายใต้การดูแลของ Miss Sophia Blackmore จาก Woman’s Foreign Missionary Society of the Methodist Episcopal Church ในปี 1900 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:30:06

ความคิดเห็นที่ 36 ในปี 1890 โบสถ์  Middle Road Church รู้จักกันดีในชื่อของ Malay Church เนื่องจากใช้ภาษามาเลย์ในการเทศน์ในโบสถ์สำหรับคนจีนที่เกิดในสิงคโปร์และมาเลเซีย (หรือที่รู้จักกันดีว่า “บาบ๋า”) ได้เข้าใจ และถือเป็นโบสถ์สอนศาสนาคริสต์ให้กับคนจีนที่เกิดในสิงคโปร์และมาเลเซียเป็นแห่งแรกด้วย โดยผู้ริเริ่มในการใช้ภาษามาเลย์ในการเทศน์คือ สาธุคุณ W.G. Shellabear ในปี 1894 แต่อย่างไรก็ดี โบสถ์  Middle Road Church ก็ยังมีการสอนศาสนาคริสต์ด้วยภาษาถิ่นอื่นๆ ด้วย จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:30:31

ความคิดเห็นที่ 37 ในปี 1894 Dr. Luering ได้เริ่มการสอนศาสนาคริสต์ให้กับผู้ที่มาจากมณฑลฟูเจี้ยนในประเทศจีนด้วย การสอนศาสนาประสบความสำเร็จมาก จนกระทั่งในปี 1900 จึงได้ขอพื้นที่จาก Woman’s Foreign Missionary Society จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:30:58

ความคิดเห็นที่ 38 ในปี 1901 F.W. Warne บิชอบในนิกาย Methodist ได้ประกอบพิธีอุทิศโบสถ์หลังนี้ให้เป็น  โบสถ์  Middle Road Church หรือที่รู้จักกันในชื่อ Baba Church ได้เจริญเติบโตจนไม่สามารถที่จะรับรองสาธุชนผู้เลื่อมใสได้ ประกอบกับได้มีการขายที่ดินผืนนี้ให้กับ Mr. Eu Thong Sen ในปี 1926 Baba Church ได้ย้ายในอยู่ที่ Kampong Kapor มีชื่อว่า Kampong Kapor Methodist Church ในปี 1929 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:31:18

ความคิดเห็นที่ 39 หลังจากนั้น Baba Church หลังเก่าก็ได้ว่างลงและถูกใช้เพื่อการพาณิชย์ โดยได้กลายเป็นโรงเก็บรถของบริษัท Sin Sin Motor Company จนถึงปลายทศวรรษที่ 1980 ในช่วงต้นทศวรรษที่ 2000 ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์อาคารแห่งนี้และได้กลายมาเป็นอาคารที่ใช้แสดงศิลปะ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:31:42

ความคิดเห็นที่ 40 ตามมาเป็นกำลังใจและเก็บข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับทริปปลายปีนี้ค่ะ ว่าแต่คุณทนายเคยไปเคาน์ดาวน์ที่สิงคโปร์บ้างหรือเปล่าคะ มีคำแนะนำเรื่องสถานที่ให้เราบ้างได้ไหมคะ จากคุณ : ColaGirl เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:36:44

ความคิดเห็นที่ 41 จุดที่ 4 ต้องออกแรงเดินมานิดหน่อยครับ เดินตรงขึ้นมาตาม Middle Road ผ่านแยก Queen Street มาเลี้ยวขวาตรงแยก Victoria Street ครับ เดินเลยมาอีกนิดเดียวครับก็ถึง St. Joseph’s Church จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 11:58:14

ความคิดเห็นที่ 42 คุณ : ColaGirl  --- ยังไม่เคย Countdown ที่สิงคโปร์เลยครับ เค้าหน้าจะจัดงานใหญ่ที่ปาดังนะครับ เดี๋ยวจะลองถามเพื่อนให้อีกทีนะครับ -------------- ตั้งอยู่บนถนน Victoria Street เป็นโบสถ์ในคริสต์ศาสนาสำหรับคริสตศาสนิกชนชาวโปรตุเกสที่เข้ามาตั้งรกรากอยู่ในสิงคโปร์ในช่วงแรกๆที่มีการก่อตั้ง Port of Singapore สร้างตั้งแต่ปี 1850 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:00:28

ความคิดเห็นที่ 43 ตามหลักฐานของ The Portuguese Mission in Malacca and Singapore ปรากฎว่ามีโบสถ์ ในคริสต์ศาสนาสำหรับคริสต์ศาสนิกชนชาวโปรตุเกส 12 – 13 แห่งอยู่ในสิงคโปร์ในช่วงปี 1821 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:01:03

ความคิดเห็นที่ 44 Sir Stamford Raffles ให้อนุญาตให้ใช้พื้นที่บริเวณถนน Victoria Street แก่คริสต์ศาสนิกชนชาวคาทอลิกเพื่อสร้างโบสถ์ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:01:32

ความคิดเห็นที่ 45 แต่กว่าจะสร้างขึ้นจริงๆ จังๆ ก็ปาเข้าไปจนถึงปี 1840 โน่น จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:02:13

ความคิดเห็นที่ 46 โบสถ์หลังที่เห็นในปัจจุบันนี้ได้ถูกสร้างขึ้นบนซากของโบสถ์หลังเดิมที่มีอายุอยู่ในช่วงปี 1850 – 1906 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:02:54

ความคิดเห็นที่ 47 สถาปนิกแห่งบริษัท Swan & MacLauren เป็นผู้รับผิดชอบในการออกแบบ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:03:27

ความคิดเห็นที่ 48 ในขณะที่บริษัท Riley Hargreaves เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:03:56

ความคิดเห็นที่ 49 ได้มีการวางศิลาฤกษ์เพื่อเป็นการเริ่มต้นการก่อสร้างในปี 1904 และสร้างเสร็จและเปิดใช้งานเป็นครั้งแรกในวันที่ 30 มิถุนายน 1912 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:05:00

ความคิดเห็นที่ 50 การบูรณะปฎิสังขรณ์ครั้งใหญ่นี้รวมไปถึงการสร้างที่อยู่สำหรับพระแห่งใหม่ เพราะว่าหลังเก่าได้กลายเป็น โรงเรียนคอนแวนต์สำหรับเด็กหญิง St. Anthony ไปแล้ว จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:05:34

ความคิดเห็นที่ 51 โบสถ์ St. Joseph’s ได้เป็นสถานศึกษาให้กับเยาวชนทั้งหลายที่อยู่บริเวณใกล้เคียงมาตลอด จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:06:29

ความคิดเห็นที่ 52 เริ่มต้นในปี 1879 หลวงพ่อ Jose Pedro Sta Anna de Cunha ได้ก่อตั้งโรงเรียนร่วมกับโรงเรียน St. Anna School โดยเริ่มสอนในบ้านที่อยู่บถนน Middle Road และย้ายมาอยู่ภายในบริเวณของโบสถ์ในปี 1886 โดยรัฐบาลได้ออกงบประมาณในการนี้ 4000 เหรียญ  ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อจาก โรงเรียน St. Anna School เป็น St. Anthony’s Boy and Girl School จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:07:36

ความคิดเห็นที่ 53 ในปี 1893 โรงเรียนได้ถูกแบ่งออกเป็น St. Anthony’s Boy School และ St. Anthony’s Girl School จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:08:30

ความคิดเห็นที่ 54 ได้มีการประกาศให้โบสถ์ St. Joseph’s เป็น National Monument ในปี 2005 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:09:00

ความคิดเห็นที่ 55 แต่ช่วงนี้โบสถ์ปิดซ่อมนะครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:09:35

ความคิดเห็นที่ 56 ก็เลยเข้าไปชมข้างในไม่ได้ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:10:04

ความคิดเห็นที่ 57 โบสถ์ St. Joseph’s สร้างในแบบศิลปะโกธิค แก้ไขเมื่อ 21 มิ.ย. 54 12:10:46 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:10:33

ความคิดเห็นที่ 58 มีการตกแต่งภายในและภายนอกอย่างสวยงาม จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:11:28

ความคิดเห็นที่ 59 มีโดมทรงแปดเหลี่ยมขนาบด้วยหอคอยแปดเหลี่ยม จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:11:59

ความคิดเห็นที่ 60 ภายในตกแต่งด้วยกระจกสีและเครื่องกระเบื้องสไตล์โปรตุเกส จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:12:27

ความคิดเห็นที่ 61 จุดที่ 5 นี่แค่เดินอ้อมมาด้าหลังของโบสถ์ St. Joseph’s Church ก็ถึงแล้วครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:13:56

ความคิดเห็นที่ 62 โบสถ์ St. Peter และ St. Paul จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:15:06

ความคิดเห็นที่ 63 ตั้งอยู่ใกล้ๆกับ Singapore Art Museum (ซึ่งเมื่อก่อนนั้นเป็น St. Joseph’s Institution มาก่อน) จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:16:28

ความคิดเห็นที่ 64 สร้างขึ้นในระหว่างปี 1869 – 1870 โดยหลวงพ่อ Pierre Paris ซึ่งเป็นหัวหน้า Chinese Catholic Mission จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:16:57

ความคิดเห็นที่ 65 ถือว่าเป็นโบสถ์คาทอลิคสำหรับชาวจีนที่เก่าแก่ที่สุดในสิงคโปร์ และมีโบสถ์ในเครือข่ายอีกหลายๆแห่งเช่น Church of Sacred Heart Church of Our Lay of Lourdes, Church of Nativity of the Blessed Virgin Mary, และโบสถ์ St. Teresa’s Church เป็นต้น จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:17:25

ความคิดเห็นที่ 66 โบสถ์ St. Peter และ St. Paul ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ประกอบศาสนพิธีให้กับชาวจีนที่เป็นคริสต์ศาสนิกชนที่มีเพิ่มขึ้นในสิงคโปร์ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:17:56

ความคิดเห็นที่ 67 ตามที่ Song Ong Siang ได้เขียนไว้ในหนังสือชื่อ One Hundred Years’ History of the Chinese in Singapore ได้เขียนไว้ว่า  นักธุรกิจชื่อ Tan No Keah ผู้มีอิทธิพลมากในช่วงปีทสวรรษที่ 1860 ได้เป็นคนออกทุนในการสร้างโบสถ์นี้ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:18:27

ความคิดเห็นที่ 68 นอกจากนั้น Walter Makepeace ได้กล่าวเอาไว้อย่างน่าสนในในหนังสือ One Hundred Year of Singapore ว่า จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ได้พระราชทานทุนทรัพย์เพื่อสร้างรั้วรอบ โบสถ์ St. Peter และ St. Paul จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:18:55

ความคิดเห็นที่ 69 โบสถ์  St. Peter และ St. Paul ถูกสร้างขึ้นในแบบนีโอ – โกธิค กับการตกแต่งที่หรูหรา เป็นโบสถ์หนึ่งในไม่กี่แห่งในสิงคโปร์ที่มีประดับด้วยหน้าต่างกระจกสีบานใหญ่ (Rose window) จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:21:10

ความคิดเห็นที่ 70 ด้านหน้าของโบสถ์เป็นหอคอยสูง ยอดแหลม ละซุ้มโค้งยอดแหลม จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:21:52

ความคิดเห็นที่ 71 ประดับประดาด้วยเสา Corinthian ที่ทำจากหินแกรนิต จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:22:26

ความคิดเห็นที่ 72 ภาพสวยมากเลยคุณทนาย จากคุณ : ชื่อไม่มีปัญหา เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:23:07

ความคิดเห็นที่ 73 ข้อมูลแน่นปึ้ก ขอบคุณครับ จากคุณ : nonneena เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:23:25

ความคิดเห็นที่ 74 ตรงทางเข้าโบสถ์มีรูปหล่อ St. Peter จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:23:28

ความคิดเห็นที่ 75 และ St. Paul จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:23:57

ความคิดเห็นที่ 76 คุณ : ชื่อไม่มีปัญหา  ---- เก็บกระเป๋าเสร็จยางงงงงงงง อิอิอิ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:24:59

ความคิดเห็นที่ 77 คุณ : nonneena  --- ต้องขอบคุณ Wan Meng Hao และ Jacqueline Lau  ครับ อิอิอิ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:25:52

ความคิดเห็นที่ 78 นับตั้งมีการก่อตั้งโบสถ์  St. Peter และ St. Paul เป็นต้นมา พระที่เป็นหัวหน้าของโบสถ์นี้มักจะได้รับการสถาปนาให้เป็นหัวหน้าของ Chinese Catholic Mission ในประเทศสิงคโปร์ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:26:40

ความคิดเห็นที่ 79 ในประเทศสิงคโปร์ ดังนั้น โบสถ์ St. Peter และ St. Paul จึงได้เป็นที่ประชุมของ Chinese ( Asiatic) Catholic of Singapore อยู่เนืองๆ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:27:14

ความคิดเห็นที่ 80 และ โบสถ์  St. Peter และ St. Paul ยังเป็นต้นแบบให้กับโบสถ์หลายๆแห่งในสิงคโปร์ด้วย จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:27:39

ความคิดเห็นที่ 81 ด้วย โบสถ์  St. Peter และ St. Paul ได้เป็นหัวหน้าของ ของ Chinese Catholic Mission ในประเทศสิงคโปร์ จึงเป็นสถานที่ที่ให้นักสอนศาสนาจากประเทศยุโรปได้เข้ามาเรียนภาษาก่อนที่จะออกไปทำการเผยแพร่ศาสนาต่อไป จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:28:10

ความคิดเห็นที่ 82 โบสถ์  St. Peter และ St. Paul ก็ยังเปิดบริการสำหรับคริสต์ศาสนิกชนทั่วไปทุกวัน จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:28:39

ความคิดเห็นที่ 83 แอบเดินไปด้านหลังนิดนึงครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:29:11

ความคิดเห็นที่ 84 ด้านหลังไม่มีอะไร จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:29:42

ความคิดเห็นที่ 85 ก็เลยเดินมาด้านหน้า จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 12:30:11