ภาพยนตร์บันเทิง

Family Talk

 
ครอบครัวสุขสันต์


หลายคนที่นั่งดูละครบางครั้งอาจจะรู้สึกและแอบบ่นกับตัวเองละครเรื่องนี้ทำไมน้ำเน่าจังเลย เรื่องของแม่ผัวกับลูกสะใภ้ เรื่องแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยง หรือตบตีแย่งผู้ชาย มันมีจริงหรืออะไรมันจะขนาดนี้ ทั้งที่ในความเป็นจริงชีวิตคนเราบางทีก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากละครน้ำเน่า หรืออาจจะเน่ากว่าด้วยซ้ำไป

ดั่งเช่นคู่ชีวิตรักคนบันเทิงคู่นี้ ฝ่ายชายเป็นนักแสดง, แอ็กติ้งโค้ช, ผู้กำกับฯ, และโปรดิวเซอร์ คือ "เอ๋" กษมา นิสสัยพันธ์ ส่วนฝ่ายหญิงเป็นนักแสดงสาวใหญ่ "ดี้" ปัทมา ปานทอง ความรักของทั้งสองเริ่มต้นจากความเข้าใจ เมื่อฝ่ายหญิงมีปัญหากับอดีตสามี จนถึงขั้นแยกทางกัน โดยดี้รับผิดชอบเลี้ยงดูลูกสาว "น้องพลอย" โสวิชญา วัย 2 ขวบกว่า ซึ่งพี่เอ๋ก็รับรู้ปัญหามาตลอดจนก่อเกิดเป็นความเห็นอกเห็นใจและตัดสินใจคบหาเป็นแฟนกัน แม้จะถูกแม่ของดี้กีดกัน และถูกกระแสสังคมต่อต้านต่างๆ นานา แต่ทั้งสองก็ฟันฝ่าและใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันมาจนถึงวันนี้เป็นเวลา 16 ปีแล้ว

ความรักของพี่เอ๋กับดี้เกิดขึ้นมาจากความเห็นอกเห็นใจ
ดี้ : ตอนนั้นดี้กับพี่เอ๋รู้จักกันอยู่แล้วก็เป็นเหมือนพี่น้องในวงการเพราะทำงานด้วยกัน พอดีมีงานสารคดี ของกระทรวง ก.ศ.น. เข้ามาให้ดี้ผลิตพอดีตอนนั้นดี้ถ่ายละครกับพี่เอ๋เลยจะยกให้พี่เอ๋ทำ แต่พี่เอ๋เกรงใจเพราะดี้เป็นคนได้งานมา พี่เอ๋ก็ถามว่าดี้อยากทำไหมก็อยากทำเพราะจะได้มีรายได้  ก็เลยมาหุ้นเปิดบริษัททำด้วยกัน ตอนนั้นยังไม่ได้คิดอะไรต่างทำหน้าที่กันไป"

เอ๋ : ก็ไม่ได้คิดอะไรก็ทำงานด้วยกัน แต่พี่เคยเจอน้องพลอยเพราะดี้เอาไปกองถ่ายด้วย และเคยเจอแม่ของดี้ด้วยเพราะตอนนั้นดี้ร้องเพลงกลางคืนด้วย ดี้ก็จะพี่เอ๋ฝากแม่ด้วยก็นั่งกินเหล้าด้วยกันที่โต๊ะ และพอเรามาทำงานด้วยกัน บางทีเราต้องมาบ้านเขาเพื่อมาประชุมก็จะมาเจอแม่เขาเจอน้องพลอยเจอปัญหาที่เกิดขึ้น ก็ปัญหาในครอบครัวเขานั่นแหละ คือที่บ้านเลี้ยงผมมาจะเป็นแบบว่าอยากทำอะไรก็ทำขออย่าทำเลว ที่บ้านผมเลยไม่ค่อยมีปัญหาแต่บ้านเขาไม่ใช่ต้องอย่างนั้นอย่างนี้ บางทีเรามานั่งทำงานที่บ้านเขาแม่เขาก็กระฟัดกระเฟียด เราก็อะไรวะ ก็รู้อยู่เขามีสามีมีลูกแล้ว เราไม่ได้มาวุ่นวายอะไรก็นั่งทำงาน

คือแม่เขาหวงลูกสาวไง จนมีช่วงหนึ่งที่เขามีปัญหาเยอะๆ จนงานทำไม่ได้เพราะเขาขับรถหายไปเลย เราโทร.ไปก็ไม่รับเพราะเขาเลิกกับสามี เราก็โทร.ไปจนเขารับสายก็บอกให้มาเถอะมาเจอที่ห้องตัดนะ พอนั่งคุยกันเราก็ได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าสามีก็อย่างแม่ก็อย่าง เราก็เลยเห็นใจ พอตอนหลังมีปัญหามากๆ เราก็ได้รู้มาตลอดทั้งตอนที่เขาเลิกกับสามีและมีปัญหากับลูก เราก็เริ่มเข้าใจและเห็นใจ ก็เริ่มคบกันแล้วโดยที่เราไม่ได้มา บอกว่าเป็นแฟนกัน

ดี้ : เหมือนเราซึมซับความรู้สึกกันมากกว่า แล้วเราไม่เคยมาคุยกันว่าความรักของเราจะเริ่มต้นกันใหม่ยังไงจะเริ่มจากตรงไหนจะทำอะไรหรือไม่ทำไม่มีนะ เหมือนเราไม่ได้พูดอะไรกันเลยแต่เป็นความรู้สึกล้วนๆ

ตอนที่คบกันเห็นว่าถูกแม่ดี้กีดกันจนพี่เอ๋ต้องพาดี้หนีมาอยู่ที่บ้าน
เอ๋ : วันหนึ่งแม่เขาลุกขึ้นมาอาละ วาด เราก็ไม่ไหวแล้วเลยชวนดี้ขนเสื้อผ้าไปอยู่ที่บ้านผมดีกว่า แต่ก่อนไปผมบอกแม่ดี้ว่าถ้าแม่ไม่เปลี่ยน ไม่ดีขึ้น ผมจะไม่ให้ลูกสาวแม่กลับมา แม่ก็ด่าเลยสิ เป็นปกติของคุณมณี คือเขาก็ห่วงลูกสาวเราก็เข้าใจ แต่วินาทีนั้นมันแรงกันมากทุกคน เราก็ดึงดี้ออกมาก่อนค่อยพากลับไปใหม่ พอพามาบ้านก็บอกแม่ผมว่าจะพาดี้มาอยู่ที่นี่ แม่ก็ทำหน้าตกใจ คือเขาก็รู้ว่าเราคบกันอยู่เราก็คิดในใจว่าแม่ต้องไม่ให้อยู่แน่ๆ แม่ก็ทำตาโตถามว่านอนห้องไหนลูกตอนนี้ห้องเต็มหมดเลย งั้นไปนอนบ้านพี่สาวแล้วกันซึ่งอยู่ในรั้วเดียวกัน พอพาไปบ้านพี่สาวก็ไม่ได้อะไร ตกลงวันนั้นเราก็เลยอยู่ด้วยกันเหมือนสามีภรรยาอยู่กันเป็นครอบครัวสามคนในห้องเดียว มีผมมีดี้และน้องพลอย

ดี้ : คือช่วงนั้นแม่มีวิธีการเลี้ยงหลานไม่ถูกด้วยจนดี้ต้องไปหาจิตแพทย์ พอเราสั่งอย่างแม่ทำอย่าง เริ่มสอนให้หลานโกหก เพราะเขาไม่อยากให้น้องพลอยโดนทำโทษ มันมีปัญหาเยอะเกี่ยวกับตัวลูก พอเราไปพบจิตแพทย์เขาก็บอกต้องแยกจากยายออกมา ถ้าไม่แยกน้องพลอยจะแย่  คือยายจะให้หลานทุกอย่างที่ไม่ใช่ พอพี่เอ๋ชวนดี้ก็คิดว่าถ้าเราไปคงไม่ได้ไปเลย เอาไว้เราค่อยกลับมาเคลียร์กับแม่วันหลังได้ก็เลยไป

เอ๋ : ก็ผ่านไปประมาณสองเดือนดี้ขอกลับไปหาแม่เราก็อยากไปก็ไป แต่อย่าเพิ่งเอาน้องพลอยไปเดี๋ยวมีปัญหาอีก ก็ให้เขาไปเคลียร์กับแม่ ส่วนตัวผมผ่านไป 2 ปีกว่าค่อยไปกราบขอโทษแม่ ซึ่งเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรก็ร้องไห้ แต่เราก็ดูแลเขาเพราะเป็นแม่เมียและยายของลูก

ดี้ : ดี้บอกกับแม่ว่าจริงๆ เหมือนแม่ต้องนิ่งบ้าง แล้วดี้ก็ทำตามที่แม่บอกมาเยอะมากซึ่งมันก็เฟลมาเยอะ ฉะนั้นให้เราเป็นคนดำเนินชีวิตเองบ้างเราขอเลือกทำในสิ่งที่เรามองเราคิดดีแล้ว แรกๆ เขาก็ยังนั่นอยู่แต่พอนานๆ เหมือนเวลาทำให้เขาเห็นว่าพี่เอ๋เป็นยังไง แต่ทุกวันนี้แม่จำพี่เอ๋ไม่ได้เพราะหลงแล้ว

ผ่านด่านคุณแม่ได้แล้วแต่ก็ต้องมาเจอกับกระแสต่อต้านจากคนรอบข้าง
เอ๋ : พอปัญหาแม่หมดไปก็มีเรื่องอื่นเข้ามามากมาย จากคนอื่นๆ จากนักข่าวซึ่งกระแสแรงมากประมาณว่าดี้กับเอ๋เป็นชู้กัน ดี้เป็นแม่ม่ายลูกติดซึ่งสมัยก่อนมันแรง ไม่ได้เหมือนสมัยนี้ ก็เลยขอคุยกับนักข่าว คุยบอกว่าใครจะเขียนยังไงไม่ว่าจะด่าผมด่าดี้ด่าได้แต่อย่าด่าลูกผมซึ่งก็คือน้องพลอย สงสารเด็กเพราะถ้าเขาโตมาเห็นข่าวจะรู้สึกยังไง นักข่าวก็เข้าใจ  หลังๆ ก็ไม่ค่อยมีข่าว

ดี้ : เราไม่อยากพูดเพราะไม่อยากพาดพิงถึงคนอื่น จะกลายเป็นไปว่าเขา ทำไมเราต้องเลิกกับอดีตสามีแต่เรามีเหตุผล ถ้าเราเอามาพูดคนที่ไม่ได้ออกมาพูดเขาก็จะเสียเปรียบแล้วเราก็เลิกกันด้วยดี

พอมาใช้ชีวิตอยู่กันเป็นครอบครัวก็ไม่ได้คิดจะจัดพิธีแต่งงานหรือมีลูก
เอ๋ : "เราเคยคุยกันก็ถามดี้เหมือนกันแต่เขาก็ย้อนถามแล้วผมล่ะ ผมก็บอกไม่อยากแต่งเพราะการแต่งงานไม่ได้สำคัญกับเราไม่ได้ทำให้เราอยู่กันมาถึงวันนี้ 16 ปีแล้วนะ เขาก็เลยถามผมต่อว่าอยากมีลูกอีกคนไหม ผมบอกไม่อยากมีแต่ถ้าคุณอยากมีก็ไม่เป็นไร ดี้เขาก็ไม่อยากมีเหมือนกัน ก็เลยคุยกันตกลงกันว่าไม่จัดงานและไม่มีลูก

ดี้ : ตอนนั้นน้องพลอยยังเล็กด้วย แล้วการเลี้ยงเด็กคนหนึ่งก็เหนื่อยนะ ขนาดเลี้ยงน้องพลอยยังทะเลาะกันเลย ดี้รู้สึกว่าการแต่งงานไม่ได้บอกทั้งหมดว่าเราถึงเส้นชัย แล้วเราเคยแต่งมาแล้วจะมาแต่งใหม่อีกให้คนมานั่งพูดกันในงานหรอ มันขำๆ เลยรู้สึกว่าเราดำเนินชีวิตของเราในแบบที่คนอื่นไม่เดือดร้อนดีไหม และคิดว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเราทำเพื่อแม่เราแต่งงานเพื่อแม่ไปแล้ว ตอนนี้ชีวิตเหมือนเป็นของเรานะ เราขอดำเนินชีวิตของเราเองเลยไม่จัดงานแต่ง

เรื่องราวชีวิตรักของพี่เอ๋กับดี้เปรียบเหมือนนิยายน้ำเน่าเลยนะ
เอ๋ : อุ้ย...ถ้าเขียนเป็นละครร้อยตอนก็ไม่จบ เรื่องราวเยอะแยะมากมาย ช่วงที่ดี้ทะเลาะกับสามีแล้วขับรถหนีมันสุด แม่เขาโทร.มาหาผมบอกต้องตามหาดี้ให้เจอนะ ไม่รู้ไปไหน เราก็จะไปตามที่ไหน

พี่เอ๋กับน้องพลอยมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยงบ้างมั้ย
เอ๋ : ไม่ค่อยมีเพราะอยู่ที่เด็กเขาก็เรียกว่าลุงเอ๋ตลอด คนก็งงนะเวลาไปไหนคนนึกว่าสามคนพ่อแม่ลูก แต่พอเห็นน้องพลอยเรียกเราว่าลุงเขาก็อ้าวไม่ใช่พ่อหรอกเหรอ แล้วตัวน้องพลอยเขาก็ไม่เชื่อใคร เขาเชื่อเราและคุยกันรู้เรื่อง เพราะเขารักเรามั้ง เขาจะบ่นถึงเราจะร้องหาเราจะอะไรเราตลอด ติดเรามากกว่าติดแม่อีก เหมือนกับว่าดี้เป็นแม่เลี้ยงส่วนผมเป็นพ่อแท้ๆ เพราะเราชอบเล่นกับเขาด้วยมั้ง เล่นแรงๆ แต่ถึงเราจะเล่นกับเขาเราก็จะอยู่ในลิมิต เราจะให้เขาเท่าไหร่จะไม่ให้เขายังไงเราจะปล่อยเขาแค่ไหน

ดี้ : น้องพลอยเรียกลุงจนเขาอายุ 5 ขวบได้เขาก็ไปเจอพ่อแม่เพื่อนที่โรงเรียนแล้วเพื่อนของเขาเรียกพ่อว่าแดดดี้ น้องพลอยก็มาถามดี้ว่าแดดดี้แปลว่าอะไรเราก็บอกแปลว่าพ่อ เขาก็อ๋อ...พอขากลับเขาบอกว่าเขาเรียกลุงเอ๋ว่าแดดดี้ได้ไหม พี่เอ๋บอกว่าก็ได้น้องพลอยอยากเรียกอะไรก็เรียกจะเรียกแดดดี้ก็ได้ จากวันนั้นน้องพลอยก็เรียกพี่เอ๋แดดดี้เป็นต้นมา

เอ๋ : จะเป็นลุงหรือแดดดี้ผมไม่รู้สึกอะไรนะเพราะจะเรียกเราอะไรก็ได้เราก็เหมือนเดิมกับเขา ส่วนเขาก็ยังเหมือนเดิมกับเรา รักเราเชื่อฟังเราไม่ได้แตกต่าง แต่จะมีคำที่โดนใจผมที่น้องพลอยพูดว่าอยากให้แดดดี้เป็นพ่อน้องพลอยจริงๆ นะ เราก็พูดว่าก็เป็นอยู่แล้วแปลกตรงไหนจะเกิดมาโดยเราหรือใครแต่เขามาอยู่กับเราก็จบ

ไม่มีกำแพงของความเป็นพ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยง แถมพี่เอ๋ยังรักน้องพลอยเหมือนลูกของตัวเอง
เอ๋ : มันอยู่ที่เรามากกว่าเราไม่กลัวเขาจะไม่รักเรา เราจะทำอะไรก็ได้ถ้าเราคิดว่าสิ่งนี้ดีสำหรับเขาแล้ว เรากลัวเราไม่กล้าทำเราไม่กล้าบังคับไม่กล้าตีกลายเป็นว่าคุณให้ท้ายเด็ก แต่เราไม่กลัวบอกน้องพลอยจะไม่รักแดดดี้ก็ได้ถ้าน้องพลอยทำผิดแดดดี้ก็ตี คือเราจะอยู่ดูแลเขาแล้วเราก็ทำให้ถึงที่สุด ให้ดีที่สุด ถ้ามันไม่ได้ค่อยว่ากัน แต่ตอนแรกก็มีความรู้สึกนะจากหลานมาเป็นลูก แต่เราคิดซะว่าถ้าเขาไม่รักเราก็ไม่เป็นไรเพราะเราเลี้ยงเขาจริงๆ จะรักก็รักไม่รักก็ช่างเป็นไร คนเคยถามผมว่าตีลูกไม่กลัวลูกไม่รักเหรอ นั่นคือคำพูดที่ผิด ในชีวิตยังไงลูกก็ต้องรักเราเพราะเราเลี้ยงเขา เราดูแลเขา ยังไงเขาต้องรักเราเพราะเราไม่เคยตีลูกด้วยอารมณ์

ดี้ : อุ้ย...กว่าพี่เอ๋จะลงมือตีลูกได้บางทีพูดเป็นชั่วโมง อธิบายว่ารู้ไหมนี่มันผิดยังไง แล้วจากความผิดนิดเดียวแต่พอเขาพูดจบเหมือนผิดเท่าภูเขา ทำไมมันเยอะขนาดนั้นเลยแล้วไม่ตีสักที ดี้ว่าน้องพลอยที่ไม่ทำผิดไม่ได้กลัวโดนตีหรอกแต่กลัวโดนดุมากกว่า

เอ๋ : เราจะพูดวนพอจบแล้วเราถามอีกผิดไหมมันเป็นเทคนิคอย่างหนึ่ง ผมก็ภูมิใจนะในความเป็นเขาที่เชื่อฟังเราและเขาไปของเขาได้ดีและมีความคิดของเขา

การใช้ชีวิตคู่ของพี่เอ๋กับดี้ไม่เคยมีปัญหาหรือทะเลาะกันเลยแต่ที่ทะเลาะกันเพราะการเลี้ยงดูลูกที่แตกต่างกัน
ดี้ : พี่เอ๋จะเลี้ยงน้องพลอยแบบมีระเบียบวินัยมากๆ ส่วนดี้เป็นคนที่ไม่มีระเบียบอะไรเลยในชีวิต จะกินจะนอนยังไงผักไม่กินก็ได้ไม่เป็นไร แต่พี่เอ๋ไม่ได้เลย จนเรารู้สึกทำไมชีวิตมันยากอย่างนี้ต้องกินต้องบังคับเสร็จแล้วเราก็เครียด

เอ๋ : เราไม่เคยทะเลาะเรื่องเรา 2 คน เพราะสัญญากันเอาไว้ อย่างจะโกรธกันจะทะเลาะกันแต่พอเช้าต้องคุยกัน และทะเลาะกันยังไงห้ามเอ่ยปากคำว่าเลิก นอกนั้นทะเลาะกันเรื่องเลี้ยงลูก"

ดี้ : อย่างทานข้าวถ้าไม่หิวก็ต้องทานเมื่อถึงเวลา ก็มันไม่หิวในความรู้สึกเรา ไปบังคับลูกทำไม

เอ๋ : มาเรื่องอาบน้ำเรื่องนอน ถ้าจะเปิดไฟนอนแล้วไปอ้อนไปกล่อมกันก็ไม่ได้ ถึงเวลานอนเถอะ และต้องหัดอาบน้ำเองเพราะเราทำงานกัน 2 คน หรือจะนอนถ้าต้องมีคนมาอยู่มันก็ไม่ใช่ ส่วนใหญ่พี่จะสอนให้น้องพลอยช่วยตัวเองเพราะชีวิตเราสองคนออกทำงานด้วยกันทั้งคู่

ดี้ : ตอนแรกดี้เครียดต้องไปหาหมอหาจิตแพทย์เพราะไม่รู้จะแก้ยังไง คือทุกคนจะมองว่าสิ่งที่เราทำถูกแล้วนะ ก็ไม่หิวนะก็อาบน้ำเองไม่ได้ หรือน้องพลอยทำการบ้านพี่เอ๋ก็ให้เปิดทีวี เราก็ลูกอ่านหนังสือทำไมไม่ปิดทีวีลูกจะได้อ่านจบ แต่นี่อ่านตั้งแต่ 3 โมงเย็นจนเป็นทุ่ม เราก็เครียด พอตอนหลังเขาเพิ่งมาบอกว่าเป็นการฝึกสมาธิให้ลูกแต่ตอนนั้นเขาไม่บอก เราก็เลยเครียดไม่รู้ทำยังไงตกลงฉันผิดหรือเขาผิด พอไปหาหมอคุยให้หมอฟัง หมอบอกให้นัดพี่เอ๋กับลูกมาด้วย พอพี่เอ๋กับลูกมาหมอก็คุยสองคน สรุปดี้เป็นคนเดียวที่ต้องปรับปรุงตัวเองเพราะทุกคนทำถูกแล้ว มีแต่เราที่ไม่ถูกเราก็เหรอ ไม่ใช่ว่าดี้ไม่เชื่อพี่เอ๋แต่รู้สึกว่าเขาไม่เคยมีลูกจะรู้ได้ไง

เอ๋ : ดี้จะบังคับลูกอ่านหนังสือตอนเช้าวันละ 1 ชั่วโมงซึ่งมันไม่ไหว เด็กอายุ 3-4 ขวบอ่านหนังสือวันละ 1 ชั่วโมงโดยให้อ่านไปเรื่อยๆ ผมก็บอกขอ 15 นาทีแรกที่ต้องสติ๊กว่าอ่านตรงไหน จากนั้นเขาอยากเล่นหรืออ่านอะไรก็ทำไป เราก็เริ่มคุยกันอะไรที่คุณอยากได้ถามผม หรืออยากทำอะไรก็ทำไปถ้าอะไรไม่ดีผมจะแนะ"

น้องพลอยเป็นเด็กที่ตั้งใจเรียนหนังสือตั้งแต่เด็กจนสามารถสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ ทำเอาคุณพ่อคุณแม่ภูมิใจมาก
เอ๋ : เขาวางโปรเจ็กต์ให้ตัวเองว่าอยากเรียนอะไรตั้งตอนที่เขาเรียนชั้นประถม จนวันที่เขาอยากเรียนหมอเรายังไม่รู้เลย จนเขามาบอกอยากเข้าเซนโยฯ, แล้วไปต่อที่สาธิตปทุมวันจากนั้นเข้าเรียนที่เตรียมอุดม และแพทย์จุฬา โดยที่เขาตั้งใจเรียนและขอเรียนพิเศษจนสอบเข้าแพทย์ได้  เขาจะเรียน 6 ปีจนจบโท และทำงานใช้ทุนรัฐบาลอีก 3 ปี  จากนั้นค่อยไปเรียนเฉพาะทางต่ออีก 2 - 3 ปี ส่วนเขาจะไปต่อด้านไหนก็แล้วแต่เขา

ดี้ : น้องพลอยเป็นเด็กพูดรู้เรื่อง ไม่ต้องมาดูกันทุกอย่าง แต่เขาจะมีความรับผิดชอบตัวเอง เหมือนเริ่มต้นดีตอนจบก็จบต้องดี ตอนแรกดี้ชอบนิติศาสตร์และเชียร์ด้วยแต่เขาไม่ชอบ

พอรู้ว่าน้องพลอยมีการวางแผนอนาคตการศึกษาให้ตัวเองแต่เด็ก ซึ่งผิดกับเด็กคนอื่นที่พ่อแม่จะเป็นคนคอยชี้แนะหรือวางอนาคตให้ ทำให้เราอดไม่ได้ที่จะหันไปคุยกับน้องพลอยซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ
พลอย : เพราะโตไปจะได้มีอาชีพที่มีความมั่นคงไม่ต้องไปของานใครทำ แล้วอาชีพหมอเป็นอาชีพที่มั่นคง พลอยไม่อยากทำงานที่อาศัยโชคชะตา แล้วอาชีพอื่นมีคู่แข่งเยอะ เขาจะจ้างหรือไม่จ้างแต่อาชีพหมอเหมือนกับว่าตอนนี้หมอก็ไม่พออยู่แล้ว ก็เป็นอาชีพที่ดี แล้วที่น้องพลอยเรียนหมอเพราะเคยดูหนังเกาหลีเกี่ยวกับหมอหลายเรื่อง ซึ่งหมอไม่ได้ทำงานนั่งโต๊ะน่าเบื่อ แต่มันดูตื่นเต้นดี"

เรียนแพทย์ที่จุฬาฯ จบก็ต้องไปเรียนเฉพาะทางคิดหรือยังอยากเรียนอะไร
พลอย : ที่คิดไว้และจากที่ดูหนังฝรั่ง อยากเรียนหมอศัลยกรรมหัวใจ มันดูตื่นเต้นดีการผ่าตัดหัวใจ แต่ผู้หญิงเรียนน้อยเพราะต้องใช้เวลาในการผ่าตัดนานอย่างน้อย 8 - 10 ชั่วโมง เหมือนผู้หญิงยืนไม่ทน ซึ่งพลอยอาจจะเปลี่ยนใจไม่เรียนหรือไม่รู้ว่าจะชอบจริงๆ ไหม เพราะมันอีกนานตอนนี้พลอยอยู่ปี 2 อีกหลายปี คงต้องดูอีกที

เห็นพี่เอ๋บอกว่าน้องพลอยติดและสนิทกับพ่อมากกว่าแม่
พลอย : ตอนนี้รู้สึกเหมือนแดดดี้เป็นพ่อจริงๆ เพราะโตมาก็เป็นแบบนี้แล้ว พลอยจำความได้ก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วเรามีกันสามคน แล้วพลอยกับแดดดี้ ชอบอะไรเหมือนกันด้วย ชอบดูหนังชอบกินเหมือนกัน ส่วนแม่ก็สนิทนะแต่จะคนละอย่าง กับแม่จะเป็นเรื่องความสวยงามเรื่องเรียนพิเศษ

เห็นคุณแม่กับคุณพ่อแอบแซวให้เราฟังว่าน้องพลอยเป็นคนที่ค่อนข้างประหยัดมากจนเข้าขั้นเรียกว่างก อันนี้ติดมาจากใครพ่อหรือแม่
พลอย : เอาพ่อกับแม่มารวมกัน  (น้องพลอยพูดยิ้มๆ และก่อนที่จะพูดต่อพี่เอ๋ก็สวนขึ้นทันที ตามด้วยดี้)

เอ๋ : แม่เค็มแน่ๆ ส่วนพ่อใช้จ่าย     สุรุ่ยสุร่ายแต่บางอย่างไม่ค่อย แต่เราก็สอนให้เขาใช้เงินนะ อย่างไปกินบุฟเฟ่ต์กับเพื่อนเขาไม่ยอมกินอะไรเลยเพราะกลัวเสียเงินแต่อยากไปจอยกับเพื่อน แต่พอกลับมาบ้านให้พ่อพาไปเลี้ยง เขาบอกกินแบบนี้ไม่คุ้ม หรือเขาจะไปต่างประเทศกับเพื่อนซึ่งเพื่อนไปก่อน แต่เขาไม่ไปบอกไปทำไมเสียค่าโรงแรมไปตามโปรแกรมที่เขาจัดให้ดีกว่า

ดี้  : เอางี้ ซื้อน้ำปลาไม่ดูยี่ห้อแต่ดูที่ราคา  แล้วเขาเก็บเงินจากที่สอนพิเศษได้ก็เอาไปซื้อเป็นทองคำเพื่อไม่ให้กระเด็น เพราะเงินอยู่ในตู้อาจจะมีคนแอบหยิบไปได้ไงเลยซื้อเป็นทอง

พลอย : เอาไปซื้อทองเพราะทองมีแต่ขึ้นไง

สรุปแล้วความประหยัดของน้องพลอยหนักกว่าคุณพ่อและคุณแม่นะเนี่ย
พลอย : อยากเก็บเงินเยอะๆ ถ้าใช้แล้วมันจะหมด อยากเก็บเงินให้ครบจะได้พาแดดดี้กับหม่ามี้ไปเที่ยวยุโรปกันสามคน

เอ๋ : เป็นเพราะตอนที่เขายังเด็กๆเรามีช่วงลำบากกันมาก มีครั้งหนึ่งน้องพลอยเดินถือกระป๋องเงินมาบอกเอาเงินน้องพลอยผ่อนบ้านก็ได้นะ เขาจะรับรู้เรื่องครอบครัวตลอด ช่วงไม่มีเงินเราก็นั่งคุยกันสามคน จนน้องพลอยบอกว่าเขาไม่เรียนพิเศษก็ได้ เงินแค่ 3 พันให้ลูกเรียนพิเศษไม่มีเลย เราก็ไม่ได้เราจะขี้เกียจไม่ได้ต้องลุกออกไปทำงาน ออกไปหางานไปทำโน่นทำนี่ทุกอย่าง

ดี้ : ไม่ใช่ว่าเราจะให้ลูกต้องมารับรู้ปัญหาแต่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ และเราให้เขารับรู้ไปด้วยเขาจะได้ไม่เข้าใจผิด ที่บ้านเราจะไม่โกหกกันเราจะพูดความจริงทุกอย่าง แต่ถ้าเขาไม่รู้ สมมติเขาอยากได้สิ่งนี้แต่เราให้เขาไม่ได้เราก็ต้องโกหกเขา ซึ่งมันไม่ดี ฉะนั้นถ้าเขารู้แล้วเขาอยากได้เราจะบอกเขาว่าเรายังซื้อไม่ได้นะลูกเพราะเรายังไม่มี

เอ๋ : เราต้องบอกเขาเพราะอะไร ไม่ใช่ไม่ให้เด็กรับรู้เลยเด็กก็จะแบบฟุ้งเฟ้อมันก็ไม่ใช่ ถ้าช่วงนี้มีเงินอยากซื้อก็ซื้อถ้าไม่มีเงินยังไม่ซื้อ

น้องพลอยโตเป็นสาวอายุ 19 แล้วมีหนุ่มๆ มาจีบบ้างหรือเปล่า
พลอย : น้อยถ้าเทียบกับคนอื่นเพราะเราไปด่าเขาก่อนเขาเลยไม่จีบ
ดี้ : เขาเป็นผู้หญิงแข็ง ก็มีเพื่อนตั้งแต่เรียนเตรียมอุดมแต่ก็ไปด่าเขา
เอ๋ : ก็มีแต่ยังไม่ผ่านพ่อ เพราะพ่ออยากได้หล่อรวยและโง่ (หัวเราะ)

พี่เอ๋กับดี้ห่วงหรือกลัวมั้ยว่าน้องพลอยจะออกนอกกรอบ
ดี้ : ไม่ค่อยห่วงเพราะจากการเลี้ยงดูและความเป็นอยู่ของพวกเรา เพราะเขาคิดได้และคิดเป็นเหมือนเลือกที่จะคบคนเป็น ที่สำคัญคือมีอะไรเขาจะเล่าหมดแล้วเราไม่เคยเอาเรื่องที่เขาเล่ามาลงโทษเขา ถ้าเราลงโทษอีกหน่อยเขาจะไม่เล่า แต่เราจะบอกเขาว่าถ้าทำอย่างนี้อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าจะห่วงคงเป็นเรื่องการเดินทางความปลอดภัยมากกว่า เหมือนเราค่อยๆ ปล่อยเขาให้ค่อยๆ ก้าวไปอย่างมั่นคงมากกว่า วันนี้ก็รู้สึกภูมิใจมากๆ ว่ามันคุ้มกับสิ่งที่เราทุ่มเทไป คุ้มกับการที่พี่เอ๋ยอมที่จะไม่มีลูกมาเลี้ยงน้องพลอยคนเดียว ซึ่งเขาก็ได้รับความรักจากพี่เอ๋มากๆ เหมือนกัน แล้วเขาก็รักพี่เอ๋มากด้วย

เอ๋ : บ้านเราไม่เคยบอกว่าไม่ได้ ถ้าไม่ได้เพราะอะไรต้องบอกด้วยไม่ได้เพราะอะไร แต่ถ้าบอกไม่นะแล้วตอบไม่ได้จะไม่ห้ามปล่อยให้เขาทำแล้วให้เขาได้ผลอันนั้นกลับมาเอง ผมว่ายังไงน้องพลอยก็ไม่ออกนอกกรอบหรอกเพราะเขาเลือกคนเป็นและเราให้โอกาสเขาเลือกคนคบ ให้โอกาสเขารู้จักคนแล้วเราค่อยบอกดีหรือไม่แต่เราไม่ห้าม อย่างมีทอมมาส่งที่บ้านยายโกรธมากมาฟ้องเราก็บอกแล้วไงก็ปลอดภัยดีมีทอมมาส่ง เขาบอกคนแถวนี้จะมองเราก็ช่างเขาเป็นไร เรารู้ว่าลูกเราเป็นยังไงบ้านเราเป็นยังไงก็จบแล้ว ผมก็เลยไม่ห่วงเพราะเขาใช้ชีวิตของเขา พ่อแม่มีหน้าที่แก้ปัญหารอรับปัญหาที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง และถ้าอยู่กับเขาจะรู้ว่าไม่ต้องห่วงเลยเพราะเขามีความรับผิดชอบยิ่งกว่าเราอีก

:: อ่านต่อในฉบับ ::

:: กลับไปหน้าหลัก ::