T3 |
FEATURE |
|
iHEALTH เทคโนโลยีส่งผลร้ายต่อคุณหรือไม่? ทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องรู้แต่ไม่กล้าที่จะซักถาม... Words by Ian Taylor ขอเชิญทุกคนมาร่วมชื่นชมยินดีกับความเป็นไปได้ครั้งใหม่ คำถามและความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพถูกเพ่งเล็ง และนำมาเป็นประเด็นถกเถียงเรื่อยมา เนื่องจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยีเกิดถี่ขึ้น และอุปกรณ์เครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์รอบข้างได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตของพวกเราไปซะแล้ว สิ่งที่เราอยากรู้คือถ้า HOMO SAPIEN อย่างพวกเราได้กลายเป็น HOMO TECHNICUS แล้วอวัยวะต่างๆ ของเราจะมีผลกระทบหรือไม่ อย่างไร? T3 ได้ปรึกษากับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อค้นหาข้อเท็จจริง ว่าเทคโนโลยีใกล้ตัวเราทำอะไรให้กับสุขภาพ ท่วงท่าร่างกาย สายตา และแม้กระทั่งความสามารถที่จะมีลูกได้ เชิญมาทางนี้ นายแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านผลกระทบของเทคโนโลยีต่อร่างกายพร้อมที่จะวินิจฉัยคุณแล้ว.. ภาพสามมิติส่งผลร้ายต่อสายตาหรือไม่? น่าแปลกใจไม่น้อย ที่มนุษย์มองเห็นภาพเป็นสามมิติโดยปราศจากตัวช่วย อย่างแว่นสามมิติ เฉิ่มเชยอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีความกังวลมากเกินกว่าคาดคิดเกี่ยวกับทีวีและภาพยนตร์ที่แสดงภาพในระบบสามมิติ Sony และ Samsung ได้สอดแทรกคำเตือนเรื่องสุขภาพตัวเล็กๆ อ่านยากในเงื่อนไขบริการบนเว็บไซต์สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีสามมิติบางตัวของพวกเขา ผลข้างเคียงที่อาจเป็นไปได้ในกรณีที่ใช้งานนานๆ ได้แก่ อาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นเหียนอาเจียน กล้ามเนื้อกระตุกฉับพลัน และอาการชัก แต่ผู้เชี่ยวชาญไม่ค่อยแน่ใจในเรื่องนั้น แม้ว่าใครก็ตามที่ดูภาพยนตร์เรื่อง Piranha 3D หรือ Resident Evil: Afterlife น่าจะเห็นว่าคำเตือนดังกล่าวนั้นมีโอกาสความเป็นไปได้และความจริงซ่อนอยู่บ้างก็เถอะ “ปกติสายตาคนเราจะเพ่งสิ่งบางอย่างคล้ายภาพสามมิติได้ดีมาก” Dr Rob Hogan อดีตผู้อำนวยการวิทยาลัย College of Optometrists กล่าว สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกกังวลมากกว่านั้นคือ ไม่ทุกคนเสมอไปที่จะได้สัมผัสประสบการณ์ภาพสามมิติที่พาพวกเขาดำดิ่งเข้าสู่เหตุการณ์ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะคนตาเหล่หรือคนที่เป็นโรคตาขี้เกียจ (Lazy Eye ภาวะที่ตามีประสิทธิภาพในการมองเห็นต่ำกว่าปกติ) คงจะไม่เห็นเป็นภาพสามมิติ “แม้แต่คนปกติอย่างพวกเราก็มีปัญหาเหมือนกัน เนื่องจากคนส่วนใหญ่จะมีตาข้างหนึ่งที่แข็งแรงกว่าอีกข้าง ปัญหานี้จะยังคงอยู่จนกว่าที่แว่นสามมิติสำหรับคนสายตาไม่ดี จะกลายเป็นสิ่งธรรมดาๆ ที่คนทั่วไปซื้อมาใช้ได้ ทว่าผมก็ไม่เห็นหลักฐานใดที่บ่งบอกว่าแค่การดูภาพสามมิติจะเป็นต้นเหตุของอาการต่างๆ ดังกล่าว” แต่อย่างไรก็ตาม คุณควรเลี่ยงการเข้าใกล้โรงภาพยนตร์ ถ้ามีภาพยนตร์สามมิติอย่าง Piranha 3DD ฉายอยู่ ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่านั่งเสียใจภายหลัง ฤา gadget จะคือสาเหตุของการเป็นหมัน? ถุงอัณฑะร้อนๆ เป็นถุงอัณฑะที่ปราศจากความสุข เชื่อกันว่าการที่ตัวอวัยวะแสนรักแสนหวงที่ห้อยต่องแต่ง นอกร่างกายนั้น เป็นเพราะว่ามันจะทำหน้าที่ของมันได้ดีที่สุดที่อุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกายสักสองสามองศา ด้วยสาเหตุนี้จึงมีการวิจัยค้นคว้าเพื่อดูว่าการซุกโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงตลอดเวลา หรือใช้เวลาทั้งวี่ทั้งวันกับโน้ตบุ๊คร้อนๆ บนตักจะส่งผลกระทบต่อ อะแฮ่ม ‘อวัยวะตรงบริเวณตักแถวๆ นั้นแหละ’ ได้รึเปล่า งานศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งจาก Cleveland Clinic Foundation ใน Ohio พบว่าผู้ชายที่คุยโทรศัพท์นานกว่าสี่ชั่วโมงต่อวันจะมีสเปิร์มน้อยกว่าคนปกติ และสเปิร์มที่พวกเขามีก็เป็นประเภทนักว่ายน้ำจอมเอื่อยเฉื่อยอีกด้วย “ยังมีหลักฐานที่ระบุว่าการใช้งานโน้ตบุ๊คบนตัก จะทำให้อุณหภูมิลูกอัณฑะของผู้ชายเพิ่มสูงขึ้น” Dr Allan Pacey แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านบุรุษวิทยา (Andrologist ซึ่งเชี่ยวชาญด้านระบบสืบพันธุ์เพศชาย) แห่งมหาวิทยาลัย University of Sheffield กล่าว “แต่ไม่มีหลักฐานใดๆ เท่าที่ผมรู้ที่บ่งบอกว่าสิ่งนี้มีผลต่อจำนวนสเปิร์ม” Pacey ยอมรับว่าบ่อยครั้งที่ผลการทดลองในห้องแล็บที่ได้นั้นห่างไกลจากสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในชีวิตจริง หากคุณยังกลัดกลุ้มกังวลใจไม่รู้จะทำอย่างไรดี แถมเป็นไปได้ยากที่จะทำงานบนโต๊ะ ก็ให้ลองนั่งท่าขัดสมาธิแล้ววางโน้ตบุ๊คบนขา ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัย Stony Brook University ในนิวยอร์กพบว่าอุณหภูมิจะเย็นลงมาประมาณหนึ่งองศา ยังไงๆ ก็อย่าเพิ่งตระหนกตกใจ Pacey กล่าว “การเจริญพันธุ์ของเพศชายโดยส่วนใหญ่แล้วถูกกำหนดโดยพันธุศาสตร์ และมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกผู้ชายก่อนการกำเนิด คุณผู้ชายที่ประสบกับปัญหาความสามารถ ในการสืบพันธุ์ควรได้รับคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงความร้อนและคลื่นรังสีจากโทรศัพท์มือถือ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานใดชี้ชัดว่าการใช้งานสิ่งเหล่านี้จะทอนโอกาสของการเป็นพ่อคน” แอพพลิเคชั่นทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นได้รึเปล่า? เสียชีวิตและประสบกับโรคภัยไข้เจ็บ? ใช่แล้ว มีแอพพลิเคชั่นสำหรับสิ่งนั้น มีหลายตัวด้วยตัวอย่างเช่น หากคุณกังวลเกี่ยวกับการระบาดของไข้หวัดหมูหรือโรคลีเจียนแนร์ (Legionnaire: เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ) คุณก็สามารถดาวน์โหลด HealthMap จาก App Store มันจะใช้ Google Maps เตือนให้คุณรับรู้เมื่อมีโรคใดๆ กำลังระบาดในท้องถิ่นแถวบ้านคุณ ตัวเลขจำนวนแอพพลิเคชั่นเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพทะยานสูงขึ้น 78 เปอร์เซ็นต์ นับตั้งแต่ต้นปี 2010 เป็นต้นมา โดยมีทั้งแอพพลิเคชั่นสำหรับตรวจเช็คอาการปวดหัว วัดอัตราการเต้นของหัวใจของคุณ ความดันโลหิต และอื่นๆ พวกมันจะเก็บข้อมูลเกี่ยวกับโภชนาการและการออกกำลังกายของคุณ แอพพลิเคชั่นบางตัวอ้างว่าสามารถวัดปริมาตรความจุปอดได้ด้วย ว่าแต่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ฉบับกระเป๋าเหล่านี้จะทำให้สุขภาพคุณดีขึ้นได้จริงหรือเปล่า “ดิฉันคิดว่ามันมีประโยชน์มากทีเดียว” Annabel Bentley ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์แห่ง Bupa กล่าว “อะไรก็ตามที่ให้ข้อมูลและฟีดแบ็ก และกระตุ้นให้เราหันมาใส่ใจในสุขภาพมากขึ้นถือว่าเป็นสิ่งดี” ผลวิจัยระบุออกมาว่าการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล สามารถกระตุ้นให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมคนเราได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมีแอพพลิเคชั่นเกี่ยวกับการลดน้ำหนักและการวิ่งเยอะแยะอยู่ใน App Store ปัญหาแค่อย่างเดียวคือยังมีลูกค้าบางคนที่ซื้อแอพพลิเคชั่นมาใช้ และคิดว่ามันจะซุกอยู่ในกระเป๋าเฉยๆ และปล่อยอิทธิฤทธิ์เสกให้คอเรสเตอรอลของพวกเขาลดลง หรือลากพวกเขาออกไปวิ่ง ผู้เขียนรายงาน Mobile Health 2010 เตือนว่าแอพพลิเคชั่นที่จำเป็นต้องอัพเดต และมีปฏิสัมพันธ์กับมันตลอดเวลาถูกนำไปใช้ในจำนวนลดลงจากเดิมอย่างมาก อย่างไรก็ดี ขณะที่ iPhone ของคุณไม่สามารถตรวจรักษาคุณได้เหมือนแพทย์ทีเดียว แต่ทั้งสองสามารถทำงานร่วมกันได้ “หากคุณใช้แอพพลิเคชั่นวัดค่าต่างๆ เกี่ยวกับสุขภาพของคุณ แพทย์ของคุณก็น่าจะนำข้อมูลที่ได้รับมาทำการรักษาคุณให้ดียิ่งขึ้น” Bently กล่าวทิ้งท้าย :: อ่านต่อในฉบับ :: |