 |
ก่อนที่เขาจะมาพบเรือสำราญ ซึ่งเทคนิคกล้องในฉากนี้เรียกร้องความสนใจเป็นอย่างมากในการปรับเปลี่ยนระยะโฟกัส ระหว่างทางข้างหน้า กับเรือสำราญลำใหญ่ เป็นการช่วยเน้นย้ำว่าเขาสามารถตัดสินใจไปที่ไหนก็ได้เพียงชั่วเสี้ยววินาที โดยเขาเลือกขึ้นเรือ อาจเพราะหาที่นอน หรือของประทังชีวิต แต่หารู้ไม่ว่าการตัดสินครั้งนี้อาจทำให้เขาเจอทางเยียวยาจิตวิญญาณที่หลงที่หลงทาง-หลงผู้หลงคน ผ่านการใช้ช็อตดีเลย์คัท ของเรือที่จากไปทางน่านน้ำดำมืดในยามค่ำคืน ตัดกับความไสวของแสงที่เล็ดลอดออกจากเรือ ซึ่งสร้างความแปลกประหลาดทางความรู้สึกกับผู้ชมที่ไม่สามารถคาดเดาเป้าหมายใดๆได้เลย
ด็อจด์และภรรยา เพ็กกี้(เอมี่ อดัมส์)เจ้าของเรือเช่าสำราญลำนี้ ล่องเรือไปนิวยอร์คเพื่อไปเผยแพร่คำสอนของลัทธิ The Cause แก่เหล่าสมาชิกตามพื้นที่ต่างๆ เหตุที่ด็อดจ์ใช้เรือเป็นพาหนะเพื่อทำให้มีเวลาเอ้อระเหยกับความคิดสรรสร้างแรงบันดาลใจในงานเขียนเกี่ยวกับลัทธิเล่ม 2 ที่ยังดูติดๆขัดๆ จนกระทั่งการรับ เฟร็ดดี้ ขึ้นเรือไปนั่น เพราะพบว่าเฟร็ดดี้ไม่ต่างจากผู้ป่วยระยะสุดท้าย ที่สามารถเป็นหนูทดลองตรวจสอบประสิทธิภาพแนวคิดที่เขาได้สร้างขึ้นมานั่นเอง
หลังจากผ่านซีเคว้นเปิดตัวเฟร็ดดี้ไป ภาพยนตร์ก็พาเข้าสู่พล็อตเรื่องอย่างแท้จริง โดยเปิดตัวละครใหม่ นั่นคือ แลนคานเตอร์ ด็อดจ์ (ฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟแมน)เจ้าลัทธิแห่ง The Cause ลัทธิใหม่ที่เชื่อว่ามนุษย์มีวิญญาณเป็นอมตะที่เกิดมานับล้านๆปี และความมุ่นมัวขุ่นใจในปัจจุบัน คือความดำมืดจากอดีต(ชาตินี้และอดีตชาติ) จึงคิดค้นวิธีรักษาโดยกลับไปให้คนไข้ระลึกถึงความทรงจำครั้งก่อนว่าเคยมีความบอบช้ำใดๆในอดีตอยู่หรือไม่ แล้วซักไซ้ตอกย้ำให้เกิดการเรียนรู้และยอมรับเหตุการณ์นั้นๆเพื่อให้สามารถยกระดับจิตใจและอารมณ์ให้กลายเป็นมนุษย์ที่มีความสันติและสงบสุขอย่างแท้จริงได้
ฉากเผชิญหน้าการทดลองของด็อดจ์ต่อเฟร็ดดี้ อย่างไม่ต้องเคลือบแคลงสงสัยนี่คือฉากที่ดีที่สุดเทียบเท่าฉากระเบิดอารมณ์ของเฟร็ดดี้ในคุก ที่ช่างเข้มข้นน่าติดตาม และอึดอัดในอารมณ์อย่างถึงที่สุด โดยฉากนี้นอกจากจะแสดงให้เห็นการทดลองของด็อดจ์แล้ว ยังเป็นการเปิดเผยประวัติที่ผ่านมาของเฟร็ดดี้ ที่ถูกปิดงำไว้เผยให้ผู้ชมได้รับรู้อย่างโจ่งแจ้ง ผ่านการซักไซ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยห้ามแม้แต่กระพริบตาซึ่งมันทำให้การตอบคำถามของเฟร็ดดี้ผุดออกจากภาวะจิตใต้สำนึกอย่างห้ามมิได้ การล้วงลึกเข้าไปพบความลับของเฟร็ดดี้ต่อชีวิตอันพิกลพิการ พ่อตาย,แม่เป็นบ้า,มีสัมพันธ์ทางเพศกับน้าของตัวเอง แต่ดูท่าจะไม่สำคัญเท่าความลับที่ว่า มีผู้หญิงวัย 16 นาม ดอริส โซเซนสตัด (มาดิเซ่น เบียตี้) ที่เขาสัญญาว่าจะรีบกลับไปหาเธอ รอเขาอยู่ผ่านบทเพลง Don't Sit Under the Apple Tree (With Anyone Else but Me) ที่เขานึกขึ้นหรือจดจำได้ผ่านจิตใต้สำนึกของตนเอง ด้วยน่าตายิ้มแย้มอันมีความสุขปนเศร้า ที่ทำให้ผู้ชมเห็นว่า เธอมีคุณค่ามากเท่าไรต่อจิตใจอันแหลกสลายของเฟร็ดดี้ ณ ปัจจุบัน ในเวลานี้
--มีต่อ--
จากคุณ |
:
A-Bellamy
|
เขียนเมื่อ |
:
6 ธ.ค. 55 21:28:14
|
|
|
|
 |