ความคิดเห็นที่ 1 เรามาเริ่มกันด้วยพระอุโบสถกันก่อนเลยครับ จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 05:16:49 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ด้านหน้าพระอุโบสถ มีกำแพงแก้ว บนมุมกำแพงแก้วซ้าย-ขวา มีเสาคอนกรีตหัวเสาเป็นศิลาสลักรูปดอกบัวตูม คือเครื่องหมาย "สีมา" สำหรับด้านหน้า ส่วนสีมาด้านหลังพระอุโบสถ สลักรูปเสมาธรรมจักรที่แผ่นหินแกรนิตปูพื้น          ภายในกำแพงแก้ว ปูหินแกรนิตสีชมพูอ่อนและสีเทา แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 46 05:19:26 จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 05:18:37 ]

ความคิดเห็นที่ 3 หลังคาพระอุโบสถมุงกระเบื้องเคลือบสีเหลือง เรียกว่ากระเบื้องกาบู ซึ่งมีลักษณะเป็นกาบโค้งครอบแผ่นรอง เชิงชายเป็นแผ่นเทพนม ซึ่งโปรดเกล้าฯให้นำกระเบื้องวัดกัลยาณมิตร ส่งไปเป็นตัวอย่างทำสีจากเมืองจีน จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 05:22:48 ]

ความคิดเห็นที่ 4 หน้าบันพระอุโบสถโปรดเกล้าฯให้ผูกลายประกอบพระราชลัญจกรต่าง ๆ คือ ๑. หน้าบันมุขตะวันออก จำหลักไม้ ผูกลายประกอบตราเป็นพระนารายณ์ทรงครุฑ ซึ่งถอดจากพระราชลัญจกร "พระครุฑพาห์" ในลายมีหมู่เทวดาอัญเชิญเครื่องสูงประกอบซ้ายขวาด้วย ๒. มุขตะวันตก จำหลักไม้ ผูกลายประกอบตราเป็นอุณาโลมในบุษบก ซึ่งถอดจากพระราชลัญจกร "มหาอุณาโลม" หรือ "มหาโองการ" ๓. มุขเหนือ ปั้นปูน ผูกลายประกอบตราเป็นช้างสามเศียร บนหลังมีบุษบก ซึ่งถอดจากพระราชลัญจกร "ไอยราพต" ๔. มุขใต้ ปั้นปูน ผูกลายประกอบตราเป็นรูปจักรรถ ซึ่งถอดมาจากพระราชลัญจกร "จักรรถ" แต่เพราะพระราชลัญจกรจักรรถเหมือนกับ "พระธรรมจักร" จึงเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า "พระธรรมจักร" จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 05:26:39 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ในการผูกลายประกอบพระราชลัญจกร นอกจากสมเด็จฯเจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์แล้ว ส่วนหนึ่งพระเจ้าบวรวงศ์เธอ กรมหมื่นวรวัฒน์ศุภากร (พระองค์เจ้าเฉลิมลักษณวงศ์ ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) ช่วยเขียนแบบ ในกำกับของสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ด้วย จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 05:28:39 ]

ความคิดเห็นที่ 6 สำหรับหินอ่อนที่ประดับตกแต่งพระอุโบสถ พระระเบียง ตลอดจนสถานที่อื่น ๆ สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงวัดขนาดทำแบบส่งไปเป็นตัวอย่าง เรียกประกวดราคาโดยตรงจากบริษัทขายหินอ่อน ประเทศอิตาลี ในการออกแบบประดับหินอ่อน มีวิศวกรและสถาปนิกชาวอิตาเลียน จากกรมโยธาธิการ ร่วมดำเนินการด้วยคือ วิศวกร อัลเลกริ (Carlo Allegri) ประสานงานสั่งซื้อหินอ่อน, สถาปนิก ตะมาโย (Mario Tamagno) เป็นผู้ช่วยเขียนแบบบางส่วน หินอ่อนทั้งหมดได้มีการสั่งซื้อและเรียกประกวดราคาไปหลายแห่ง ส่วนหนึ่งเป็นหินอ่อนจากห้างโนวี ยัวเสปเป้ (Novi Guiseppe) เมืองเยนัว กับหินอ่อนจากเมืองคาร์รารา (Carrara) ประเทศอิตาลี ที่ถือว่าเป็นเมืองที่มีหินอ่อนมากและดีที่สุด มีเอกสารหลักฐานการสั่งซื้อมากมายเป็นหลักฐาน มิใช่เป็นหินอ่อนที่เหลือจากสร้างพระที่นั่งอนันตสมาคมตามที่นักเขียนหลาย ๆ คนเข้าใจและเขียนเผยแพร่อยู่ในหนังสือต่าง ๆ แต่อย่างใด ในช่วงแรกมีมิสเตอร์ มูโซ่ (Mr. L. Mosso) ซึ่งเป็นช่างจากบริษัทขายหินอ่อน เป็นนายช่างประดับหินอ่อน มีช่างคนไทยเป็นลูกมือ จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 05:29:49 ]

ความคิดเห็นที่ 7          พระพุทธชินราช          พระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปนั่งสมาธิราบ ปางมารวิชัย สมัยสุโขทัย มีเรือนแก้ว ประทับนั่งเหนือรัตนบัลลังก์หินอ่อน (เรือนแก้วนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯให้ทำถวาย เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๕ แต่ช่างทำไม่งาม รัชกาลที่ ๗ จึงโปรดเกล้าฯ ให้แก้ไขใหม่สวยงามตามที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน)         พระพุทธชินราช มีขนาดหน้าตัก ๕ ศอกคืบ ๕ นิ้ว มีเศษ น้ำหนักทองที่ใช้หล่อ ๓,๙๔๐ ชั่ง          พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯให้พระประสิทธิปฏิมา (ม.ร.ว.เหมาะ ดวงจักร เมื่อครั้งเป็น หลวงประสิทธิปฏิมา) จางวางช่างหล่อขวา ซึ่งเป็นช่างหล่อฝีมือดีที่สุด ขึ้นไปปั้นหุ่นถ่ายแบบจากพระพุทธชินราชองค์เดิม ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก แล้วเสด็จพระราชดำเนินทรงเททองหล่อเป็นส่วน ๆ เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๔๔๔ อัญเชิญล่องเรือมาคุมองค์และแต่งที่กรมทหารเรือ โดยพระยาชลยุทธโยธิน (Andre du Plessis de Richelieu ชาวเดนมาร์ก เข้ามารับราชการเป็นทหารเรือ มียศเป็นพลเรือโท ตำแหน่งผู้บัญชาการกรมทหารเรือ) เป็นผู้ควบคุมการแต่งองค์พระ เสร็จแล้วเชิญลงเรือมณฑปแห่ไปประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๔๔๔          การทั้งปวงตั้งแต่ปั้นหุ่น หล่อ ตกแต่ง และอัญเชิญขึ้นประดิษฐานในพระอุโบสถ สำเร็จเรียบร้อยดี ทรงปีิติโสมนัสอย่างยิ่ง จึง "ทรงเปลื้องสายสะพายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ นพรัตน์ราชวราภรณ์ ซึ่งกำลังทรงอยู่นั้น ถวายพระพุทธชินราชเป็นพุทธบูชา" เมื่อเชิญพระพุทธชินราชขึ้นประดิษฐานในพระอุโบสถ เครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับราชตระกูล ซึ่งทางวัดได้เก็บรักษาไว้อย่างดี และอัญเชิญมาคล้องถวายที่พระหัตถ์พระพุทธชินราช ในวันปิยมหาราช ๒๓ ตุลาคม ทุกปี          เมื่ออัญเชิญพระพุทธชินราชขึ้นประดิษฐานแล้ว ต่อมาถึงปลายปี พ.ศ.๒๔๕๒ จึงโปรดเกล้าฯให้จ้าง มร.จุรุหระ (Mr. Tsuruhara) ครูช่างในโรงเรียนวิชาช่างกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เข้ามาทำการปิดทองจนแล้วเสร็จ และโปรดเกล้าฯให้จัดงานสมโภชในวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๔๕๓ แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 46 05:37:35 จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 05:31:41 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ตอนนี้เริ่มง่วงแล้วครับ (ปาเข้าไปตี 5 ครึ่ง) แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 46 05:36:22 จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 05:35:05 ]

ความคิดเห็นที่ 9 พระระเบียง สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงออกแบบพระระเบียง ให้เชื่อมต่อมุขกระสันพระอุโบสถ ทั้งด้านทิศเหนือและทิศใต้ โอบอ้อมไปบรรจบด้านหลังพระอุโบสถ โดยเว้นเนื้อที่เป็นลานกว้าง มีประตูด้านทิศตะวันตก ตรงกับมุขตะวันตกของพระอุโบสถ ด้านใต้และด้านเหนือ มีด้านละ ๒ ประตู บานประตูด้านนอกติดแผ่นโลหะนูนภาพเสี้ยวกาง ด้านในเขียนลายรดน้ำภาพเหมือนกับด้านนอก บริเวณหลังพระอุโบสถ เป็นลานกว้าง ปูด้วยหินแกรนิตสีชมพูอ่อนและสีเทา พื้นพระระเบียงปูหินอ่อนสีเหลืองอ่อนและสีขาวตลอด เสาพระระเบียงเป็นเสากลมหินอ่อนทั้งแท่ง ๖๔ ต้น เสาเหลี่ยมประกบแผ่นหินอ่อน ๒๘ ต้น ปลายเสาปั้นบัวประดับกระจกทั้งหมด ผนังด้านในถือปูน ด้านนอกประดับแผ่นหินอ่อนสีขาว และทำเป็นหน้าต่างทึบ มีหินอ่อนเป็นลูกกรง รอบพระระเบียง รวม ๔๘ ช่อง ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ลำยอง ลงรักปิดทองทึบ จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 05:37:05 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ภายในพระระเบียง ขื่อลงรักปิดทองลายรดน้ำ เพดานล่องชาด ประดับดาวทอง ๖๑๐ ดวง ประดิษฐานพุทธรูปต่าง ๆ จำนวน ๕๒ องค์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปหล่อสัมฤทธิ์มีทั้งพระพุทธรูปโบราณ และหล่อขยายหรือย่อส่วนจากพระพุทธรูปโบราณ โดยโปรดเกล้าฯให้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (พระองค์เจ้า ดิศวรกุมาร ต้นราชสกุล ดิศกุล) ทรงเสาะหามาทั้งในกรุงเทพฯและหัวเมือง ตลอดจนถึงต่างประเทศ เช่น อินเดีย ญี่ปุ่น พม่า ลังกา จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 05:39:37 ]

ความคิดเห็นที่ 11 พระพุทธรูปทั้ง ๕๒ องค์นี้ บางองค์ที่ควรกล่าวถึงเป็นการเฉพาะ เนื่องจากมีผู้สนใจเป็นพิเศษ คือ องค์แรก เป็นพระพุทธรูปปาง "ทุกรกิริยา" (ลำดับที่ ๗) เป็นพุทธจริยาตอนที่พระพุทธองค์ ทรงบำเพ็ญเพียรทุกรกิริยา จนพระวรกายซูบผอม แสดงถึงจินตนาการและสุนทรีย์ทางศิลปะอย่างเอกของช่าง พระพุทธรูปองค์นี้หล่อขยายจากพระพุทธรูปปูนพลาสเตอร์ ที่เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์เมืองละฮอร์ ประเทศอินเดีย(ปัจจุุบันอยู่ในประเทศปากีสถาน) จำลองจากพระพุทธรูปศิลาโบราณ สมัยคันธาระ โดยช่างชาวโยนก ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๗-๘ ส่งเข้ามาถวายสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 05:42:18 ]

ความคิดเห็นที่ 12 องค์ที่สอง คือพระพุทธรูป "ปางลีลา" (ลำดับที่ ๒๖) แสดงถึงพุทธจริยาหรือพุทธลีลาตอนที่พระพุทธองค์เสด็จลงจากดาวดึงส์ หรือเสด็จโปรดเวไนยสัตว์ เป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะลีลางามเป็นเลิศ เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของผู้ชม ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงเขียนไว้ในหนังสือศิลปะในประเทศไทยว่า "งดงามไม่แพ้ประติมากรรมชิ้นเอกอื่น ๆ ในโลก" จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 05:44:27 ]

ความคิดเห็นที่ 13 พระที่นั่งทรงผนวช เมื่อเริ่มการสถาปนาวัดเบญจมบพิตร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้รื้อพระที่นั่งทรงผนวชองค์เดิม จากพุทธรัตนสถาน ที่สวนศิลาลัย ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นเป็นที่ประทับของพระองค์ในคราวทรงผนวช เมื่อ พ.ศ.๒๔๑๖ ออกไปปลูกที่วัดเบญจมบพิตร เพื่อเป็นกุฏิเจ้าอาวาส โดยรักษารูปแบบเดิมไว้ เป็นหมู่กุฏิประกอบ จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 05:52:03 ]

ความคิดเห็นที่ 14 "พระที่นั่งทรงผนวช" เป็นตรีมุข ประตูหน้าต่างด้านนอกเขียนลายรดน้ำตรา "เครื่องราชอิสริยาภรณ์" จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 05:55:21 ]

ความคิดเห็นที่ 15 พระวิหารสมเด็จ (ส.ผ.) เป็นตึกจตุรมุข ๒ ชั้น แต่มุขด้านใต้เชื่อมต่อกับมุขกุฏิสมเด็จ มุขด้านตะวันออกและตะวันตกขยายยาวเป็นชั้นเดียว บันไดพื้นชั้นล่างปูหินอ่อน ชั้นบนปูไม้ ความงามของพระวิหารนี้อยู่ที่ประตูหน้าต่างที่เขียนลายไทยรดน้ำทั้งชั้นล่างและชั้นบน หน้าบันและซุ้มประตูหน้าต่าง ปั้นลายก้านขดประกอบตราพระนามาภิไธยย่อ "ส.ผ." (เสาวภาผ่องศรี) ลงรักปิดทองประดับกระจก ข้างบันไดขึ้นด้านหน้าหล่อราชสีห์ประดับ ๒ ตัว ภายในทั้งชั้นบนชั้นล่าง เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปโบราณ ขนาดและสมัยต่าง ๆ ตลอดจนเครื่องลายครามจีนต่างชนิด เฉพาะชั้นล่างมีตู้พระธรรมลายรดน้ำ เป็นลายไทยประกอบภาพต่าง ๆ เช่นรามเกียรติ์ เวสสันดร เป็นต้น จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 05:57:47 ]

ความคิดเห็นที่ 16 พระที่นั่งทรงธรรม เป็นตึก ๒ ชั้น ก่ออิฐถือปูนตลอด พื้นชั้นล่างและบันไดปูหินอ่อน ชั้นบนปูไม้ หลังคา ๒ ชั้น มุงกระเบื้องเคลือบสี ช่อฟ้าใบระกาลงรักปิดทองทึบ หน้าบันทั้ง ๔ ด้าน จำหลักภาพต่าง ๆ ปิดทองประดับกระจก คือ ทิศเหนือ จำหลักภาพพระโพธิสัตว์สิทธัตถะตัดสินพระทัยออกผนวช กำลังทอด พระเนตรพระนางพิมพาและพระโอรสราหุล ที่กำลังบรรทมหลับ มีนายฉันนะเตรียมม้ากัณฐกะรออยู่ข้าง ๆ ทิศใต้ พระโพธิสัตว์เสด็จถึงริมฝั่งแม่น้ำอโนมา ทรงตัดพระเมาลีด้วยพระขรรค์ อธิษฐานเพศบรรพชิต มีนายฉันนะและม้ากัณฐกะเฝ้าอยู่ใกล้ ๆ ทิศตะวันออกและตะวันตก จำหลักลายไทยประกอบพระราชลัญจกรสมเด็จ พระยุพราชอยู่ภายในสายสังวาลทั้งสองด้าน จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 06:00:54 ]

ความคิดเห็นที่ 17 หอระฆังบวรวงศ์ เป็นหอระฆังทรงไทย หลังคาลดชั้น มุงกระเบื้องเคลือบสี ผนังด้านนอกประกบหินอ่อน สร้างขึ้นด้วยทุนทรัพย์และวัสดุก่อสร้าง เช่นหินอ่อนของผู้เกี่ยวเนื่องกับพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) และโปรดเกล้าฯให้นำระฆังมาจากวัดบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า) ซึ่งเป็นวัดประจำพระราชวังบวรสถานมงคล จึงทรงตั้งชื่อหอระฆังนี้ว่า "หอระฆังบวรวงศ์" จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 06:02:32 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ศาลาสี่สมเด็จ เป็นศาลาจตุรมุขโปร่ง ก่ออิฐถือปูน ปูหินอ่อนตลอดบันได มุงกระเบื้องเคลือบสี ช่อฟ้า ใบระกาลงรักปิดทองทึบ เชิงบันไดประดับสิงห์ศิลาสลัก จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 06:05:30 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ปัจจุบันศาลาสี่สมเด็จใช้เป็นหอกลอง ในจำนวนกลองเหล่านี้มีที่น่าสนใจคือกลองยาว ที่ยาวและใหญ่กว่ากลองยาวธรรมดา มีความยาวถึง ๕.๓๒ เมตรทำด้วยไม้ประดู่ทั้งท่อน เป็นของมีประจำทางภาคเหนือเรียกว่า "กองอืด" บ้าง "กลองหลวง" บ้าง ใช้ตีในงานทำบุญตามประเพณีบ้าง ตีแข่งขันประกวดเสียงกันบ้าง ตีประกอบการฟ้อนรำพื้นเมืองบ้าง จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 06:06:32 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ศาลาหน้าพระอุโบสถ ในปี พ.ศ.๒๔๔๗-๒๔๔๘ โปรดเกล้าฯให้สร้างศาลาขึ้น ๒ หลัง ที่สนามหญ้าหน้าพระอุโบสถซ้าย-ขวา เป็นศาลาจตุรมุขโปร่ง ก่ออิฐถือปูน พื้นปูหินอ่อน หลังคา ๒ ชั้น มุงกระเบื้องเคลือบสี หน้าบันปั้นภาพและจารึกคาถาบาลีอักษรขอม ซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธุ์ (พระองค์เจ้า สวัสดิประวัติ ต้นราชสกุล สวัสดิกุล) ราชเลขานุการ ทรงเลือกจากพระสูตรในพระไตรปิฎก จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 06:09:21 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คลองนี้โปรดเกล้าฯให้ขุดขึ้นตั้งแต่เริ่มการสถาปนาวัด เพื่อแบ่งเขตเป็นส่วนพุทธาวาสและสังฆาวาส ใช้ดินที่ขุดขึ้นถมพื้นที่วัด เนื่องจากบริเวณวัดเดิม และที่ถวายเพิ่มเติมสำหรับสร้างวัด เป็นที่ต่ำเพราะเป็นที่สวนและที่นา กับเป็นแหล่งน้ำอุปโภคบริโภคในสมัยนั้น โดยโปรดเกล้าฯให้ขุดคลองเชื่อมต่อจากสวนดุสิต คลองเปรมประชากร และคลองผดุงกรุงเกษม เพื่อให้น้ำถ่ายเทได้ แล้วโปรดเกล้าฯให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจันทรสุเทพ ก่อเขื่อน ๒ ข้าง สองฝั่งคลองโปรดเกล้าฯให้ปลูกต้นไม้ และฝังเสาศิลายอดบัวตูม สอดเหล็กหล่อลายดอกไม้เป็นรั้วตลอดแนวทั้ง ๒ ข้าง เชิงสะพานตั้งตุ๊กตาจีนประดับ ๑๒ ตัว จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 06:10:48 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ศาลาตรีมุขสะพานน้ำ เป็นศาลาทรงไทยตรีมุข ๒ หลัง มุงกระเบื้องเคลือบสี พื้นคอนกรีต มีบันไดยื่นลงคลอง ๒ ข้าง โปรดเกล้าฯให้กรมโยธาธิการดำเนินการ สร้างเสร็จทรงอุทิศถวายพร้อมกับหอระฆังบวรวงศ์ และสะพานข้ามคลอง จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 06:12:16 ]

ความคิดเห็นที่ 23 สังฆเสนาสน์ เมื่อเริ่มสถาปนาวัดเบญจมบพิตร ได้โปรดเกล้าฯให้สร้างกุฏิสำหรับภิกษุสามเณร ๓๓ รูป ที่โปรดให้แห่จากวัดมหาธาตุ ไปอยู่วัดเบญจมบพิตร รุ่นแรก เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๔๔๓ คือ พระที่นั่งทรงผนวช สำหรับเจ้าอาวาส, กุฏิแถว ๖ แถว กุฏิเดี่ยว ๒ หลัง สำหรับภิกษุสามเณรทั่วไป (หมายเลข ๑ - ๓๒) และศาลาสี่สมเด็จอีก ๑ หลัง ในปีต่อ ๆ มา โปรดเกล้าฯให้สร้างกุฏิขึ้นปีละ ๑ หลัง จนถึงปี พ.ศ.๒๔๕๒ โปรดเกล้าฯให้สร้าง "กุฏิกรมพระคลังข้างที่ (เลขที่ ๔๑) แล้วทรงประกาศพระบรมราชูทิศถวายด้วยพระองค์เองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเสด็จสวรรคต จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 06:28:16 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เป็นต้นไม้สำคัญทางพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธองค์ประทับนั่งใต้ร่มเงาบำเพ็ญเพียรจนได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ อยู่กลางสนามหญ้า ด้านหลังพระอุโบสถ ต้นพระศรีมหาโพธิ์นี้ มีอายุกว่า ๑๐๐ ปี คือในปี พ.ศ.๒๔๓๔ สมเด็จฯกรมพระยา ดำรงราชานุภาพ ได้เสด็จไปราชการที่ประเทศอินเดีย และได้เสด็จไปนมัสการสังเวชนียมสถานต่าง ๆ เมื่อถึงพุทธคยา มร.เครียสัน เจ้าเมืองคยา ได้จัดหน่อพระศรีมหาโพธิ์พุทธคยาถวาย จำนวน ๓ หน่อ เมื่อกลับถึงประเทศไทยแล้ว ทรงนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี ซึ่งได้ทรงปลูกไว้ที่วัดอัษฎางคนิมิต ๑ ต้น อีก ๒ ต้นให้ปลูกชำไว้ที่เขตพระราชทานที่เกาะสีชังนั้น ต่อมาปี พ.ศ.๒๔๔๒ ขณะที่ทรงสร้างวัดเบญจมบพิตร ได้เสด็จพระราชดำเนินไปเกาะสีชัง ทอดพระเนตรเห็นต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ชำไว้เจริญงอกงามดี มีพระราชประสงค์จะทรงนำไปปลูกไว้ที่วัดเบญจมบพิตร จึงโปรดเกล้าฯให้นำมาปลูกบำรุงไว้ที่สวนดุสิตก่อน ครั้นถึงวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๔๔๓ จึงได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปลูกไว้ที่สนามหญ้าด้านหลังพระอุโบสถ เจริญงอกงามมาจนบัดนี้ จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 06:31:04 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ศาลาอุรุพงษ์ เป็นศาลาทรงไทย จตุรมุข หลังเล็ก ๆ ก่ออิฐถือปูน พื้นคอนกรีต หลังคามุงกระเบื้องเคลือบ ตั้งอยู่สนามหญ้าหลังพระอุโบสถ ด้านทิศเหนือต้นพระศรีมหาโพธิ์ จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 06:33:13 ]

ความคิดเห็นที่ 26 กำแพงรอบวัดมีซุ้มประตูปั้นปูนลายไทย ๑๐ ประตู แต่ละประตูเป็นซุ้มมีมุขกระสัน ๒ ข้างต่อกับแนวกำแพง เฉพาะซุ้มประตูด้านหน้าพระอุโบสถ เป็นประตูใหญ่ หลังคาลด ๔ ชั้นตามแนวกำแพง คลุมประตูเล็กด้านละประตู ที่ซุ้มประตูนั้นมีป้ายชื่อ "วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม" เหนือชื่อวัดเป็นตรา "ธรรมจักร" สัญลักษณ์แห่งการประกาศพระพุทธศาสนาของพระพุทธองค์ มุมซ้ายของป้ายเป็น "ตราวัด" คือ "ตราเลข ๕ มีพระเกี้ยวข้างบน" มุมขวาเป็น "ตราสวนดุสิต" ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้เขียนเป็น "รูปพระโพธิสัตว์อย่างโบราณ ประทับนั่งบนดอกบัว พระหัตถ์ซ้ายถือดอกบัวตูม พระหัตถ์ขวาแบพาดพระเพลา พระบาทขวาห้อย มีฉัพพรรณรังสีเป็นวงเบื้องหลัง" จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 06:36:14 ]

ความคิดเห็นที่ 27 หอสมุด ป.กิตติวัน เป็นอาคารรุ่นใหม่ ก่ออิฐถือปูน ๒ ชั้น มีมุขยื่นด้านหน้า ตั้งอยู่สนามหญ้าด้านหลังพระอุโบสถติดกำแพงทิศตะวันตก โดยเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช กิตติโสภณมหาเถระ เมื่อทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระวันรัต โปรดให้สร้างขึ้นด้วยทุนบำรุงพระพุทธศาสนาของรัฐบาล และทุนที่ได้รับในงานนมัสการพระพุทธชินราชประจำปี สร้างเสร็จถวายเป็นสังฆิกเสนาสน์ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๙ และทรงให้นามอาคารว่า "หอสมุด ป.กิตติวัน" จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 06:38:04 ]

ความคิดเห็นที่ 28 พิพิธภัณฑ์พระอนุสรณ์ อ.ป.ก. เป็นอาคารรุ่นใหม่ ๒ ชั้น ก่ออิฐถือปูน ตั้งอยู่ด้านหลังพระอุโบสถ ติดกำแพงริมคลอง สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เพื่อรับรองพระภิกษุผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นอาคันตุกะสำคัญจากต่างประเทศ จึงตั้งชื่อว่า "อาคันตุกาศรม" เคยเป็นพระตำหนักที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช กิตติโสภณมหาเถระ สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จนถึงวันสิ้นพระชนม์ เคยเป็นที่พำนักขององค์ดาไลลามะ พระประมุขแห่งทิเบต เมื่อเสด็จมาเยือนประเทศไทย ในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ปัจจุบันจัดเป็น "พิพิธภัณฑ์พระอนุสรณ์ อ.ป.ก." (อ.-อริยวงศาคตญาณ, ป.-ปลด, ก.- กิตฺติโสภโณ) ที่รวบรวมบริขาร เครื่องใช้ส่วนพระองค์ และเป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิของสมเด็จพระสังฆราชพระองค์นั้น จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 06:39:39 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ศาลาร้อยปีปิยมหาราชอนุสรณ์ เป็นอาคารรุ่นใหม่ ชั้นเดียว อยู่ด้านหลังพระอุโบสถ ติดกำแพงวัดด้านถนนศรีอยุธยา ก่ออิฐถือปูน ห้องโถง พื้นหินขัด หลังคามุงกระเบื้องเคลือบสี สร้างเป็น "ปิยมหาราชอนุสรณ์" เนื่องในอภิลักขิตสมัยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว องค์สถาปนาวัด เสวยราชสมบัติครบ ๑๐๐ ปี เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๑๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงเจิมศิลาพระฤกษ์ เมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๑๒ จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 06:42:04 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ศาลาธรรมชินราชปัญจบพิธ ศาลาธรรมชินราชปัญจบพิธ เป็นศาลาอเนกประสงค์ ที่รวมหน่วยงานสำคัญต่าง ๆ ของวัด เช่น เป็นห้องประชุม, สถานที่บำเพ็ญกุศลถวายภัตตาหาร, สำนักงานประธานคณะพระธรรมจาริก, สมาคมเบญจมบพิตร, ห้องสมุดวัดเบญจมบพิตร, โรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรมและบาลี, ศูนย์พระพุทธศาสนาวันอาทิตย์, ห้องบรรยายธรรมและปฏิบัติธรรม, ที่เดินจงกรม, ที่อบรมพระภิกษุนวกะ และเป็นที่บำเพ็ญกุศลอื่น ๆ เป็นต้น จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 06:43:54 ]

ความคิดเห็นที่ 31 สุดท้ายนี้ .... เรื่องราวของวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามที่เพื่อน ๆ ได้ทราบกัน เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับประวัติและสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับวัดไทยแห่งนี้อีกมากมาย หากเพื่อน ๆ สนใจ ก็สามารถชมได้ที่ http://www.watbencha.com ได้ทุกวันทุกเวลา เว็บไม่นี้ไม่ปิดครับ และก็อยากจะฝากอีกนิดนึงครับ อยากจะเชิญชวนให้ทุก ๆ ท่าน หันมาเที่ยวเมืองไทยกันให้มาก ๆ นะครับ ไม่จำเป็นที่จะต้องไปถึงต่างจังหวัดก็ได้ ในกรุงเทพฯ ก็มีให้เที่ยวอีกเยอะแยะไป ยังมีสิ่งต่าง ๆ มากมายที่ท่านยังไม่ได้เห็น แม้มันอาจจะเป็นมุมมองที่แตกต่างกันออกไป........ ปล. ไม่ได้มาโปรโมทเว็ปครับ และไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับวัด เพียงแต่อยากแนะนำสถานที่ดีดี ที่หลาย ๆ คนอาจจะมองข้ามไป ให้ท่านได้เห็นได้ทราบกัน ก็เท่านั้นเองครับ จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 06:55:44 ]

ความคิดเห็นที่ 32 เอ๊ะ...ช่วยบอกผมหน่อย ว่าผมโพสต์ผิดหมวดหรือเปล่าครับ สงสัยว่าจะผิด...แย่จัง แต่ไม่เป็นไรครับ รูปที่ถ่ายมา ส่วนใหญ่ก็ใช้กล้องดิจิตอลของอะไรซักยี่ห้อนึง รุ่นอะไรซักอย่างนึง ปรับอัตโนมัติ จำไม่ได้ เพราะยืมเค้าถ่ายครับ แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 46 07:03:16 จากคุณ : แดร็กคิวล่าคุง - [ 24 ต.ค. 46 07:00:54 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ข้อมูลละเอียดมากครับ เยี่ยมมาก แต่ขออนุญาตแก้นิดนึงตรงหัวข้อ ที่จะนำเรื่องว่าวัดประจำรัชกาลที่ 5 คือวัดเบญจมบพิตร ที่จริงวัดประจำรัชกาลที่ 5 คือวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ที่อยู่ข้าง ๆ กระทรวงมหาดไทย จากคุณ : กระเต็น (กระเต็น) - [ 24 ต.ค. 46 09:18:11 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบคุณที่เตือนครับ บางครั้งก็หลงลืมกันไปบ้างนะ จากคุณ : momotaro - [ 24 ต.ค. 46 09:35:47 ]

ความคิดเห็นที่ 35 มาเพิ่มเติมครับต้องใช้คำว่า"พระพุทธชินราช จำลอง"ครับ จากคุณ : oop - [ 25 ต.ค. 46 11:11:05 A:203.149.16.202 X:unknown ]

ความคิดเห็นที่ 36 วัดสวยมากค่ะ แต่ยังไม่เคยเข้าไปชม แต่คิดว่าน่าจะไดไปเร็ว ๆ นี้ค่ะ สัญญา... จากคุณ : เพนกวินน้อย - [ 16 ธ.ค. 51 18:51:38 A:118.175.78.154 X: ]