(ที่มา:มติชนรายวัน 29 พ.ย.2555)
พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม อ้างเหตุ
ประกาศยุติการชุมนุมขับไล่รัฐบาลเพื่อไทย เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่
ผ่านมา ว่าไม่ใช่เพราะคนไม่มา แต่เสียท่าให้กับตำรวจมากกว่า ทราบว่า
ต้องเกิดเหตุการณ์รุนแรงและไม่ต้องการให้เกิดการเสียชีวิตขึ้น
ครับ โบราณว่าไม้ล้มข้ามได้ คนล้มอย่าข้าม
งานนี้ผมไม่ต้องการเย้ยหยัน เหยียบย่ำซ้ำเติม ดูถูกดูแคลน ตรงกันข้ามกับ
เห็นอกเห็นใจผู้ที่ต้องการใช้สิทธิชุมนุมแสดงออกโดยบริสุทธิ์ใจและเป็นไป
โดยความสงบ แต่อยากชี้ให้เห็นถึงความผิดพลาด ซึ่งเป็นต้นเหตุให้การ
ชุมนุมต้องยุติลงเร็วกว่าที่คาด
การที่กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจตัดสินใจยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมบริเวณเชิงสะพาน
มัฆวานรังสรรค์ ก็เพราะเหตุว่าผู้นำการชุมนุมในบริเวณดังกล่าวดื้อรั้น ใช้อารมณ์
เป็นตัวตั้ง ใจร้อน ใจเร็ว อยากเผด็จศึกแบบม้วนเดียวจบ อะไรทำนองนั้น
จึงไม่ห้ามมวลชนที่ใช้วิธีการรุนแรง ตัดลวดหนาม ทำลายแบริเออร์แนวกั้น
ที่ตำรวจวางกำลังป้องกันไว้ และสั่งให้คนขับรถพุ่งเข้าใส่ตำรวจจนเกิดการ
บาดเจ็บนั่นเอง
แต่หากใจเย็นๆ สุขุม นุ่มลึก ถูกปิดกั้นก็เบนเข็มเปลี่ยนทิศทางรถนำขบวน
ใหม่ไปยังเส้นทางอื่น เคลื่อนผู้มาชุมนุมไปตามเส้นทางที่มีการตกลงกันไว้
ระหว่างแกนนำกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเปิดช่อง
ทางให้มวลชนเดินทางเข้าไปสมทบกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้าได้สอง
เส้นทาง ผ่านหน้าวัดเบญจมบพิตร กองบัญชาการตำรวจนครบาล และ
กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ความรุนแรงก็ไม่เกิด
หากใช้แนวทางชุมนุมอย่างสงบ ไม่ใช้ความรุนแรง ค่อยๆ เดินกันไป ไม่นาน
ก็ไปรวมตัวกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้าได้เป็นจำนวนมากกว่าขณะนั้นซึ่งยังมี
อยู่เพียงไม่กี่พันคน รวมตัวกันเพิ่มขึ้นๆ หากไม่เกิดเลือดตกยางออกและมี
เสบียงเพียงพอ จะลากยาว ยื้อเยื้อออกไปอีกกี่วันก็ได้
แต่เพราะผู้นำมวลชนประเภทนิยมความรุนแรง สุดขั้ว สุดโต่ง ต้องการแตก
หักหรือยั่วยุให้บานปลาย จึงตัดลวดหนามเพื่อฝ่าด่านผ่านเข้าไปในพื้นที่
ละเอียดอ่อนใกล้ทำเนียบรัฐบาล จึงเจอกับแก๊สน้ำตา บาดเจ็บจำนวนไม่น้อย
หากบอกว่าการเปิดช่องทางเข้าสู่ลานพระบรมรูปทรงม้าเพียงสองช่อง
น้อยเกินไป ประเด็นก็ต้องย้อนกลับไปสู่จุดที่ว่า แล้วตอนพูดคุยเจรจากับ
ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจตกลงกันไว้อย่างไร เพราะต่างฝ่ายต่างพูด
คนละอย่าง ตำรวจก็ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมไม่ทำตามข้อตกลง แกนนำผู้ชุมนุม
ก็บอกว่าตำรวจไม่ทำตามข้อตกลง
ใครพูดจริง ใครโกหกกันแน่
แน่นอน ธรรมชาติของม็อบควบคุมยาก ใครๆ ก็รู้ เงื่อนไขสำคัญที่จะ
ทำให้สถานการณ์ร้อนแรงยิ่งขึ้นหรือค่อยๆ เย็นลง จึงอยู่ที่ผู้นำที่ควบ
คุมมวลชนตรงจุดนั้นเป็นจุดเริ่มต้น
ไม่เห็นด้วยกับอารมณ์ร้อนแรงของมวลชน หรือเห็นดีเห็นงามไปด้วย
ต้องการจุดชนวนให้เกิดเหตุปะทะเพื่อนำไปสู่เป้าหมายอื่นที่ซ่อนอยู่
ในใจหรือไม่ จึงไม่เปลี่ยนทิศทางและนำมวลชนไปสู่เส้นทางที่ไม่ต้อง
มีการเผชิญหน้า
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงสะท้อนความไม่เป็นเอกภาพ ไม่ยอมรับแนว
ทางการนำ ไม่ต้องการให้การชุมนุมเป็นไปโดยสงบอย่างแท้จริง
งานนี้จึงเป็นการทดสอบทั้งสองฝ่าย ฝ่ายประท้วงกับฝ่ายตั้งรับ
ใครจะอดทน มีเทคนิคการยื้อและตื๊อมากกว่า เมื่อไม่อดทนพอ
ที่จะชุมนุมโดยสงบและยืดเยื้อได้ ก็ต้องจบลงอย่างที่เห็นกัน
ความรุนแรงจึงไม่เคยส่งผลดี ไม่ว่าความรุนแรงที่ไม่ชอบธรรม หรือความ
รุนแรงที่ชอบธรรม วาทกรรมที่ฝ่ายถืออำนาจรัฐอ้างเวลาออกคำสั่งใช้
กำลังเข้าปราบปรามผู้ชุมนุม
ความเป็นจริงก็คือ ความรุนแรงล้วนเป็นโทษในตัวมันเอง
ล้วนไม่ชอบธรรมทั้งสิ้น
แนวทางการจัดการกับการชุมนุมสาธารณะในเชิงระบบ
งหนีไม่พ้นต้องกลับมาพูดคุยกันถึงเครื่องมือ กลไก
กระบวนการ ที่จะเป็นตัวช่วยทำให้การชุมนุมประท้วง
กรณีต่างๆ อยู่ในกรอบขอบเขตที่เหมาะสม และส่วนใหญ่
ยอมรับได้อย่างจริงจังกันอีกครั้ง นั่นคือร่างพระราชบัญญัติ
การชุมนุมในที่สาธารณะ
ร่างกฎหมายฉบับนี้ ยกร่างขึ้นมาจากหลายฝ่าย ทั้งฝ่ายการเมือง
ราชการ องค์กรอิสระ และภาคประชาสังคม ติดต่อกันหลายปีที่ผ่านมา
เนื้อในรายละเอียดวิธีปฏิบัติแตกต่างกันไป ทำให้เกิดข้อโต้แย้งว่า
กฎหมายนี้จะเป็นการส่งเสริมสนับสนุนหรือลิดรอนสิทธิเสรีภาพ
การชุมนุมกันแน่ สังคมไทยยังไม่สามารถหาข้อยุติและเข็นออก
มาใช้ได้จนถึงวันนี้
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1354161015&grpid=&catid=02&subcatid=0207