(ที่มา:มติชนรายวัน 3 ธ.ค.55)
<
<
<
การรับจำนำข้าวด้วยราคาสูงอย่างเดียวคงช่วยได้น้อยมาก หากให้วิจารณ์โครงการนี้
ของรัฐบาล ผมคงวิจารณ์ว่าทำน้อยเกินไป ไม่ใช่ให้เงินน้อยเกินไป แต่เงินอย่างเดียว
ไม่พอ ต้องทำอย่างอื่นอีกหลายอย่างเพื่อให้เงินที่ชาวนาได้เพิ่มขึ้นนี้มีพลังในการ
พัฒนาตัวของชาวนาเองด้วย ผมอยากเห็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งทุกรัฐบาล เลิก
เชื่อทักษิณเสียทีว่าเงินแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง (แต่ก็ไม่ใช่ว่าปัญหาทุกอย่างแก้ได้โดย
ไม่ต้องใช้เงิน) เพราะเป็นการแก้ปัญหาระดับปรากฏการณ์ โดยไม่เข้าไปแตะตัวโครง
สร้างซึ่งเป็นต้นตอของปัญหา
แน่นอนว่าโครงการรับจำนำข้าวด้วยราคาที่สูงกว่าตลาดของรัฐบาลนี้ มีช่องโหว่,
ความหละหลวม, รูรั่ว ฯลฯ มากมาย ซึ่งน่าจะอุดเสีย เช่นโรงสีได้กำไรสูงเกินไปอย่าง
ที่ท่านอาจารย์ทั้งสองกล่าวไว้ ก็ลดค่าจ้างสีข้าวลง และ/หรือเพิ่มปริมาณข้าวสารที่
เป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย แต่โดยหลักการนั้นผมเห็นว่าถูกต้องและเป็นไปได้ที่สุดในการ
ช่วยให้ชาวนาได้ปรับตัว เป็นไปได้ทางการเมือง และเป็นไปได้ในเชิงงบประมาณด้วย
สัญญาณแห่งความไม่มั่นคงของงบประมาณดังที่ท่านอาจารย์ทั้งสองชี้ไว้นี้ หากเป็นจริง
เราก็ไม่มีทางรู้ว่าเกิดขึ้นจากโครงการรับจำนำหรือจากอะไรอื่น เช่นงบประมาณทหารสูง
เกินไป แต่รัฐบาลไม่กล้าแตะ ก็เป็นภาระ (ซึ่งจะเรียกว่าความเสียหายก็ได้) ทาง
งบประมาณจนไม่อาจหาเงินไปเพิ่มให้แก่โครงการ 30 บาท งบประมาณไทยถูกใช้ไปใน
ทางที่ไม่ควรใช้มากเสียกว่าเอาไปประกันราคาข้าวมากมายนัก
เรื่องสุดท้ายที่อยากพูดถึงไม่เกี่ยวกับการรับจำนำข้าว แต่ท่านอาจารย์ทั้งสองได้พูดทิ้งไว้ว่า
อำนาจของชาวนามาจากการหย่อนบัตรเลือกตั้ง ผมคาดว่าท่านอาจารย์ทั้งสองไม่ตั้งใจ
จะบ่อนทำลายความชอบธรรมของอำนาจนี้ว่ามาจากการซื้อเสียง อย่างที่คนชั้นกลางระดับ
กลางขึ้นไปจำนวนมากพยายามทำอยู่ แต่ไม่ดีหรอกหรือครับที่อำนาจมาจากหีบบัตรเลือกตั้ง
ไม่ใช่จากรถถังที่เอาเงินของประชาชนไปซื้อมา (อย่างน่าเคลือบแคลงเสียด้วย)
ดูเหมือนมีทฤษฎีประหลาดที่ว่า การเมืองมวลชน (mass politics) นำมาซึ่งประชานิยม
เพราะนักการเมืองย่อมหาเสียงด้วยนโยบายที่ประชาชนได้รับผลตอบแทนสูงหรือชอบ แล้ว
มันผิดตรงไหนหรือครับ นี่คือหัวใจของการปกครองตนเองอันเป็นหลักของประชาธิปไตย
ไม่ใช่หรือครับ เราเลือกคนที่เราพอใจไปจัดสรรทรัพยากรและโอกาสแทนเรา มันจะมีปัญหา
ได้ก็ต่อเมื่อเราคิดว่ามีคนบางกลุ่มเท่านั้นที่พอใจในสิ่งอันควรพอใจ (ดอกบัว) และมีคนบาง
กลุ่มพอใจกับสิ่งอันไม่ควรพอใจ (กงจักร) ด้วยเหตุดังนั้น อำนาจจากหีบบัตรเลือกตั้งจึง
ไว้ใจไม่ได้
ผมไม่ปฏิเสธนะครับว่า โอกาสที่จะเกิดประชานิยมที่ไม่รับผิดชอบนั้นเกิดขึ้นได้ ไม่เฉพาะแต่
ในละตินอเมริกาหรือเมืองไทย แต่อาจเกิดขึ้นได้ในทุกสังคมประชาธิปไตย
ระบอบประชาธิปไตยมีความเสี่ยง (แต่เสี่ยงน้อยกว่าระบอบเผด็จการหรือสมบูรณาญาสิทธิราชย์) เราลดความเสี่ยงนี้ลงได้หลายวิธี การกระทำของท่านอาจารย์ทั้งสอง (และผม) ก็เป็นส่วนหนึ่งของการลดความเสี่ยง ยังมีองค์กรและสถาบันอีกมากซึ่งหากทำงานให้ดีแล้วก็จะช่วยลดความเสี่ยงนี้ด้วย รวมทั้งการออกแบบระบบที่ทำให้ประชานิยมส่งผลร้ายได้ไม่เต็มที่ด้วย (เช่นกระจายอำนาจ)
ประชานิยมไม่ใช่ความชั่วในตัวของมันเอง เพราะมีทั้งประชานิยมที่รับผิดชอบและ
ไม่รับผิดชอบ ผมคิดว่าหากจะโจมตี ก็ไม่ควรโจมตีประชานิยม แต่ควรโจมตีองค์กร สถาบัน
และระบบ ในสังคมนั้นๆ ที่ไม่ลดความเสี่ยงของการเมืองมวลชนหรือประชาธิปไตยลง
เพื่อกระตุ้นให้เกิดความคาดหวังใหม่ๆ ต่อองค์กร สถาบัน และระบบจากสังคม ผมหวังว่า
ท่านอาจารย์ทั้งสองคงเห็นด้วยกับผมในแง่นี้
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1354506138&grpid=&catid=02&subcatid=0207
ขอโทษนะคะ ..เอาแค่บทสรุปมาให้อ่านกัน เพราะบทความยาว และท้าวความ
ย้อนไกล ... อยากอ่านกันเต็ม ก็ตาม link ไปได้เลย แต่พี่ชอบบทสรุป เพราะสั้นๆ
และกระชับดี เก็บตกมาให้อ่านกัน
อย่ามาถามว่า ทำไมไม่วิจารณ์ แค่บอกว่า "ชอบ" ก็น่าจะพอแล้วนะ