เป็นแค่ความเชื่อ โอกาสแก้ได้มีน้อย
ถ้าคนรักษาท่องใว้แล้วทำน้ำมนต์ ก็เป็นแค่ปัจจัยภายนอก
อาจให้ผลบ้างกรณีที่คนทำมีกำลังจิตแข็งจริงๆ แต่ส่งผลระยะสั้น
ถ้าให้เขาท่องเองวนๆไปซ้ำซาก จะยิ่งแย่เสียอีก...
ถ้าไม่เป็นบ้ามากนัก ยังพอพูดจาเข้าใจบ้าง.. วิธีแก้คือหาช่วงดีๆ..คนที่พอคุยได้..ไปสอน..
1. ห้ามไม่ให้ไปฝึกสมาธิเด็ดขาด คนบ้าคือคนสติพร่องมาก แถมบางคนสมาธิเยอะกว่าคนปกติเสียอีก คิดแต่เรื่องเดียวได้ทั้งวัน ถ้ารักษาผิดทางจะบ้ากันไปใหญ่ การฝึกสมาธิจะยิ่งเป็นการเพิ่มกำลังความคิดตอกย้ำที่เดิมให้แน่นมากขึ้นไปอีก ก็จะยิ่งเบนความสนใจของเขาออกมาที่การรู้สึกตัวเพื่อกระตุ้นสติสัมปชัญญะได้ยากขึ้น
2. ให้ฝึกเจริญสติ รู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง ..เช่น กำลังนั่ง กำลังเดิน ขยับมือซ้าย ขยับมือขวา ให้รู้สึกตัวทุกการเคลื่อนไหว หยิบจาน ยกช้อน ตักข้าว ให้เอาสติจับทุกขั้นตอนไปเรื่อยๆ ฝึกกันตลอดเวลา ทุกลมหายใจเท่าที่จะนึกได้.. วิธีฝึก หาจาก Google เองละกัน มีเอกสารเยอะไป
แต่ให้ฝึกในหมวดกาย...คือรู้ความเคลื่อนไหว ถ้าทำสำเร็จการฝึกหมวดอื่นๆจะตามมาได้เอง
ถ้าอยู่ๆไปฝึกหมวดดูจิต จะยากไปเพราะขนาดคนปกติธรรมดายังตามความคิดตัวเองกันไม่ทันเลย หลงเพลินไปก็บ่อย
3. คนที่ไปสอนก็ต้องฝึกนำไปก่อนด้วย จะได้เข้าใจคอนเซ็ปต์.. ว่าวิธีนี้แก้อาการบ้าแบบอ่อนๆ (ยังพูดจารู้เรื่องและทำตามคำสั่งได้เป็นส่วนใหญ่) ได้อย่างไร ..
4. วิธีนี้ไม่ใช่วิธีรักษาอาการบ้าโดยตรง แต่เป็นวิธีการฝึกให้สติบริสุทธ์เกิดขึ้นตามแนวทางพุทธ ประยุกต์นำมาใช้ได้ และผมเคยใช้กับเพื่อนคนหนึ่ง เมื่อฝึกต่อเนื่องสองเดือน ช่วยให้อาการดีขึ้น ผู้ป่วยสามารถรู้ทันสภาวะจิตของตัวเองมากขึ้นจนไกล้เคียงคนปกติ (สติตื่นตัวทัน ไม่หลงเข้าไปในความคิด) ถ้าขยันฝึกเยอะ ฝึกไปสักพักไม่กี่เดือนสติจะกลับดีกว่าคนทั่วไปเสียอีกครับ
5. จริงๆแล้วสติเป็นเรื่องสากล แม้คนที่ไม่บ้า แต่หลงไปตามอารมณ์ตัวเองแทบทุกอย่างก็มีเยอะมาก
เพียงแต่เขายังไม่ตกในสถานะคนบ้าเพราะ อาการสติอ่อนนั้นยังอยู่ในขั้นที่ดึงตัวเองกลับมาได้แบบคนทั่วไป หลังจากบ้าไประยะหนึ่งแล้ว เช่นคน โกรธจัด เพ้อจัด... ถ้าดึงกลับจุดเดิมไม่ได้ ก็เสียสติไปแบบอ่อนๆ..หรือรุนแรง
6. คนที่ฝึกสติไปเรื่อยๆ..ระยะหนึ่ง.. จะเป็นคนที่สติตื่นตัวมากจนจิตแยกออกมาเห็นความคิดตัวเองได้ชัด...ว่าความคิดกำลังเกิด ความคิดกำลังดับ.. ถึงตอนนั้นก็เลือกทำตามความคิดที่ดีๆ.. ที่พอทำได้.. ละความคิดที่ชั่วๆ... พัฒนาจิตตนเองไปสู่ความเป็นคนที่ดีขึ้น โดยไม่ต้องลำบากใจอะไร สามารถตัดสินใจไปตามเหตุและผล ไม่ตกเป็นทาสของความคิดและอารมณ์ตัวเอง...
7. สติในความหมายทางพุทธ คือสัมมาสติแบบข้อ 6 ไม่ใช่สติแบบที่คนทั่วไปมีกันอยู่
(ซึ่งก็แค่ไม่หลงกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแบบถาวร..สติยังไม่บริสุทธ์ถึงขั้นเห็นความคิดตัวเองได้ชัด)
สติในความหมายของคนทั่วไปนั้นยังไม่ตรงครับ ดังนั้นแม้คนส่วนใหญ่ที่ไม่บ้าก็ไม่มีแบบข้อ 6 หรอกครับ..จะได้อย่างข้อ 6 ต้องฝึกครับ แต่พระสงฆ์หลายรูปท่านมีนะครับ คนพุทธบางส่วนที่ปฏิบัติด้านภาวนาถูกทางก็มีด้วย.. ขยันฝึกไปเรื่อยๆแล้วสติแบบพุทธจะค่อยๆก่อตัวขึ้นเองครับ
8. แม้ต้นทางและวิธีการฝึกจะมาจากคำสอนของพุทธล้วนๆ แต่เนื่องจากสติเป็นเรื่องสากล
คนชาติไหนศาสนาไหนก็ย่อมมีเหมือนๆกัน.. จึงนำไปใช้ฝึกรักษาอาการทางจิตได้ทั้งนั้นครับ...ไม่จำกัดชาติศาสนาครับ
แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 55 22:12:17
แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 55 22:11:56
แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 55 22:03:34
แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 55 21:58:50