เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2552-2553 เป็นช่วงแห่งความยากลำบากและความสูญเสียของประชาชนไทยทั้งประเทศ
เป็นเหตุการณ์ที่พิสูจน์ความสามารถด้านการบริหารเศรษฐกิจของผู้นำฝ่ายบริหารสูงสุดของประเทศ เพราะในขณะที่ความเชื่อมั่นของนักธุรกิจไทยและต่างชาติตกต่ำลง ด้วยการชุมนุมขับไล่รัฐบาลอย่างต่อเนื่องและรุนแรงนั้น วิกฤตเศรษฐกิจโลกได้อุบัติขึ้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและลุกลามไปทั่วโลกเช่นเดียวกัน
เป็นอุปสรรคซ้อนอุปสรรคของรัฐบาลในขณะนั้น
แต่ผู้นำและคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจสามารถฝ่าฟันอุปสรรคด้านเศรษฐกิจไปได้ สามารถนำพาเศรษฐกิจไทยรอดพ้นจากวิกฤตและมีการขยายตัวได้ด้วย
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะต้องใช้ความสามาถและความ^^วชาญด้านการบริหารวิกฤต เป็นส่วนใหญ่
นอกจากการบริหารเศรษฐกิจในช่วงวิกฤตแล้ว
การชุมนุมขับไล่รัฐบาลให้ยุบสภาทันทีโดยปิดโอกาสในการต่อรองใดๆนั้น ท้าทายภาวะผู้นำของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง
เพราะการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลได้กระทำอย่างยืดเยื้อ รุนแรงและด้วยจำนวนผู้ชุมนุมที่มากมาย
เป็นโจทย์ยากที่สุด ในการบริหารจัดการ เพราะรัฐบาลต้องเผชิญกับแรงกดดันทั้งสองด้าน
ด้านหนึ่งคือ ข้อเรียกร้องของแกนนำและผู้ชุมนุม ซึงยืนกระต่ายขาเดียว ไม่รับข้อเสนอผ่อนปรนใดๆ
ด้านหนึ่งคือประชาชนทั่วไปที่ถูกละเมิดสิทธิ์จากการชุมนุม โดยเฉาะประชาชนผู้มีถิ่นอาศีย ทีทำมาหากิน ที่รักษาพยาบาล ฯลฯบริเวณราชประสงค์ซึ่งเป็นที่ที่แกนนำได้นำผู้ชุมนุมปักหลักประท้วงยืดเยื้อ
เมื่อการเจรจาไร้ผล ด้วยเหตุผลที่กล่าวข้างต้น
ประกอบกับการที่มีผู้เสียชีวิตเพราะการใช้อาวุธจากบุคคลไม่ทราบฝ่าย ทำให้ผู้นำฝ่ายบริหารสูงสุดต้องตัดสินใจประกาศ พรบ.ฉุกเฉิน เพื่อใช้อำนาจพิเศษในการยุติความปั่นป่วนรุนแรงในประเทศ
ตวามสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินได้เกิดขึ้นทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐและกลุ่มผู้ชุมนุมรวมถึงประชาชนบริสุทธิ์ ก่อนที่รัฐจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้สำเร็จ คืนความสงบสุขให้กลับสู่สังคมไทยเช่นเดิม
ผลพวงที่ตามมาก็ไม่เป็นที่แปลกใจ เพราะเหตุการณ์ปั่นป่วนรุนแรงในช่วงนั้นจะต้องมีผู้รับผิดชอบแน่นอน
การตั้งข้อหาและการฟ้องร้องได้กระทำการผ่านกระบวนการยุติธรรม
หนึ่งคือ แกนนำและกลุ่มประชาชนที่ใช้ความรุนแรง
สองคือ ผู้นำฝ่ายบริหารของประเทศในขณะนั้น ที่อาศัยอำนาจตาม พรบ.ฉุกเฉินเพื่อยุติความรุนแรง
เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่คาดการณ์ได้