"สมบัติ บุญงามอนงค์" กับกลยุทธ์ทำให้ "ข้อเสนอ" ของฝ่ายตรงข้าม "น่าขบขัน"
|
|
"สมบัติ บุญงามอนงค์" กับกลยุทธ์ทำให้ "ข้อเสนอ" ของฝ่ายตรงข้าม "น่าขบขัน"
วันที่ 09 ธันวาคม พ.ศ. 2555 เวลา 06:15:00 น.
รับชมข่าว VDO
“มติชนทีวี” สัมภาษณ์ “สมบัติ บุญงามอนงค์” ในประเด็นการเมืองเชิงสัญลักษณ์ หลังเหตุการณ์การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม นำโดย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย เมื่อวันที่ 24 พ.ย. ที่ผ่านมา
ออกอากาศครั้งแรกใน “มติชนสุดสัปดาห์” วันที่ 1-2 ธันวาคม 2555 เวลา 19.00 น. ผ่านช่อง "เวิร์คพอยท์ทีวี"
@หายหนาวหรือยัง
(หัวเราะ) มันไม่มีหนาวหรอกครับ เป็นเรื่องหลอกลวงกัน ตอนแรกก็อาจจะเกิดอาการร้อนๆ หนาวๆ อยู่บ้าง แต่พอถึงเวลาจริงๆ ไม่มีฤดูหนาว
@ตกลงเขาแช่แข็งใครครับ ประเทศไทย หรือตัวเอง
สงสัยจะตัวเองครับ แต่เหมือนว่า 2-3 วันนี้ ยังขยับตัวได้อยู่ ดูเหมือนว่า (เสธ.อ้าย) หลังจากลงเวทีแล้ว ประกาศ ว่าจะหายตัวไป แต่ยังมีคนไล่ตาม เอาแกกลับมาอีกรอบหนึ่ง
@มองมุมบวกของม็อบองค์การพิทักษ์สยาม 24 พ.ย. ที่ผ่านมา
ผมคิดว่าจุดที่ดีที่สุด คือจุดของการตัดสินใจ ในเย็นวันนั้น จริงๆ เราเห็นตั้งแต่เช้าแล้วว่าสัญญาณปริมาณของผู้เข่าร่วมชุมนุมไม่มากพอ และการประคับประคองสถานการณ์ ผมเห็นว่า เสธ.อ้ายและทีมงานที่มีอยู่ มีศักยภาพในการควบคุมฝูงชนอย่างจำกัด ดังนั้น แทนที่จะชุมนุม 2 วันตามแผนเดิม ก็ได้ตัดสินใจลงเลยในวันเดียว ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด
@ประเมินว่า มีการให้น้ำหนักเขามากเกินไปหรือเขาไม่พร้อมเอง
ผมคิดว่า เราประมาทเขาไม่ได้ แต่มีปัญหา 2 ส่วนที่ทำให้ ปริมาณและสถานการณ์เป็นแบบนี้ อันที่ 1 คือ เขาไม่สามารถเรียกร้องฝ่ายเดียวกันเอง ที่เป็นพวกไม่ฮาร์ดคอร์ ผมคิดว่า มีคนที่รอฟังเหตุผล และรอการชี้นำเชิงเหตุผล แต่ เสธ.อ้าย มีข้อจำกัด และพลาดในท่วงทำนองวาทกรรมของตัวเอง เช่น บอกว่า แช่แข็งประเทศไทย หรือ “ผมไม่เคยชื่นชมระบอบประชาธิปไตยมาก่อน ตั้งแต่เด็ก”
คือท่วงทำนองแบบนี้ ผมเชื่อว่ามวลชนที่อยู่ในปีกเสื้อเหลือง จำนวนหนึ่งรับสิ่งนี้ไม่ได้ แต่คนที่มาก็จัดว่าเป็นฮาร์ดคอร์ และมวลชนจัดตั้งอย่างแข็งแกร่ง เช่น กลุ่มสันติอโศก ตรงนั้น ไม่ต้องสนใจแล้วว่าจะพูดว่าอะไร ก็ออกมา การจัดตั้งแข็งแรง
แต่ผู้สนับสนุนส่วนนี้ไม่มา วันนั้นถนนโล่งรถว่าง ยกเว้นพารากอน แสดงว่าชนชั้น กลาง หรือที่เรียกว่า ซาหริ่ม ยังอยู่ที่พารากอน
ส่วนที่ 2 ผมคิดว่า เมื่อเคลื่อนมวลชนได้จำนวนหนึ่ง เขาคาดหวังว่า จะโน้มน้าวทหารจำนวนหนึ่งออกมาได้ ดังนั้น ตอนเช้า เมื่อมวลชนไม่มา ก็ส่งผลตอนเย็น อาการไม่มาตามนัด คนถ้าพอเป็นการเมืองบ้าง ก็จำนนโดยสถานการณ์ ตอนขับเคลื่อนมาตอนแรกอาจจะอัตวิสัย คิดเอาเองว่าจะมีคนเป็นแสนเป็นล้านคน แต่วันนั้น มันก็บอกความจริง
@จำนวนคนที่มาไม่มากเป็นเพราะอะไร และที่บอกว่า ทหาร จะมาแล้วไม่มา จริงๆ นัดหรือไม่นัด
อันที่หนึ่ง มวลชนที่ไปบอกว่าจะมาแล้วไม่มา เช่น พี่สมศักดิ์ โกศัยสุข ประกาศก่อน 1 วัน แต่ไม่มา อัศจรรย์มากเลย ดังนั้น มวลชนจัดตั้งจำนวนหนึ่งไม่มา
แต่ผมคิดว่า เสธ.อ้าย ก็ไม่ใช่สัญลักษณ์ของคนรุ่นใหม่หรือคนในปัจจุบัน คือ ในปีกเหลือง เขาก็อยากจะเห็นสังคมที่ดีขึ้น แต่ว่าท่วงทำนอง ท่าทีของ เสธ.อ้าย ผมว่า มันรับกันไม่ได้ จริงๆ เป็นการเลือกตัวบุคคลที่ไม่ค่อยสอดรับกับความเป็นเหลือง อันนี้ ผมรู้สึกอย่างนั้น แต่ว่า เสธ.อ้าย ก็อาจมีเงาบางอย่าง ที่เหมาะสม ว่าสามารถคุยกับพวกทหารเด็กๆ ก่อนหน้านั้นก็มีข่าวรั่วไหลออกมา ว่ามีการพบปะนายทหารเด็กหนุ่มๆ หลายๆ คน มีการพูดคุยในภารกิจที่ซับซ้อนมาก (หัวเราะ)โอ้โห มันเอิกเริกจนออกมาข้างนอก
@ในเชิงยุทธวิธี ที่เขาตัดสินใจบุกแต่เช้า เป็นความพลาด หรือเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่ต้องทำ
ผมไม่มั่นใจว่า กลุ่มที่เป็นฮาร์ดคอร์ ที่เข้าแนวปะทะรื้อลวดหนามรื้อแท่งคอนกรีต ผมไม่แน่ใจว่ากลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่มีการจัดตั้งเพื่อทำภารกิจนี้หรือไม่ ผมไม่มั่นใจ แต่ผมเห็นว่า ทุกม็อบ จะมีคนแบบนี้อยู่ ถ้าแกนนำ ไม่จัดคนไปคุมคนกลุ่มนี้ให้ดีก็พาเสียเรื่องได้ ทุกวันนี้ ผมก็ยังไม่มั่นใจ ว่าเป็นโดยธรรมชาติหรือเปล่า แต่กลุ่มฮาร์ดคอร์ มีทุกม็อบ แต่ผมให้เครดิตคนส่วนใหญ่ที่มาในที่ชุมนุม เขาอยู่ในที่ตั้งด้วยความเรียบร้อย
แต่พอขึ้นไปดูผู้ปราศรัยบางคนที่สั่งการเปิดทางให้เคลื่อนให้ได้ เหมือนลุย คือรอบนี้เราเห็นผู้ปราศรัยบนเวทีมีลักษณะฮาร์ดคอร์ คือโดยรวมผู้ที่มาส่วนใหญ่ ค่อนข้างสุดโต่งทางความคิด แต่สุดโต่งทางแอคชั่นหรือไม่ อีกเรื่องหนึ่ง ดูตัวเลขอายุคนนั่งในที่ชุมนุมอาจจะไม่เหมาะจะไปบู๊
@มองฝ่ายตั้งรับยังไง
ผมคิดว่ามี 2 แนว คือ แนวของรัฐ และแนวของ นปช. เสื้อแดง แนวของรัฐบาลที่ตัดสินใจใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ผมคิดว่าตัดสินใจถูกต้องแล้ว ในรอบนี้นะ
@ข้อครหาคุณก็ใช้กฎหมายเผด็จการ
ถ้าเขาใช้อำนาจมากกว่านี้จึงจะถูกข้อครหา เพราะการประกาศใช้ยังสัมพันธ์กับการกระทำ ถ้าเขาพิสูจน์ได้ว่า เพื่อปกป้องพื้นที่ และเปิดช่องทางให้ผู้ชุมนุมเข้าช่องทางอื่นได้ ก็เป็นการแสดงเจตจำนงชัดเจนว่า เป็นการควบคุมไม่ให้การชุมนุมเข้าไปในพื้นที่ที่เขาคิดว่าเปราะบาง และถ้าเข้าทำเนียบได้อีกรอบจะวุ่นวายและเกมนี้จะยาว ดังนั้น เขายันไว้ และตำรวจไม่ได้เคลื่อนกำลังเขามากดดัน
ดังนั้น ผมคิดว่า ในสภาพแบบนี้ และผลออกมาเป็นแบบนี้ เป็นการตั้งรับที่สมเหตุสมผลพอสมควร แม้จะมีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการใช้แก๊สน้ำตาก่อน เร็ว อันนี้อีกเรื่อง
อันที่สองคือ นปช. อยู่รอบนอกไม่แสดงท่าทีว่าจะเข้ามาเผชิญหน้าซึ่งต้องกุมสภาพมวลชนให้ดี คือถ้าปล่อยม็อบธรรมชาติ จะอันตรายนะ เช่น ถ้าบอกว่า เหลืองเคลื่อนได้ แดงก็เคลื่อนได้ มันจะอันตราย ดังนั้น เป็นภาระหน้าที่ ผู้นำ ต้องทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายอยู่ห่างๆ แต่จะทำอย่างไร ยังสามารถกดดันทางการเมือง และรักษาภาพทางการเมือง
@ การสื่อสารระหว่างคนบนเวทีกับคนข้างนอก มีการตั้งข้อสังเกตว่า การเปิดคลิปเรียกแขกหรือไล่แขกกันแน่
ผมว่า มันไม่เวิร์ค และล่อแหลมพอสมควร
จริงๆ เขาวางเป็นไม้เด็ดเลย แต่ว่ามันแป๊ก สถานีโทรทัศน์ช่องใหญ่ๆ ไม่มีใครถ่ายทอด และไม่มีใครกล้ารายงานเรื่องพวกนี้ แล้วก็ดูฝืด ดูตั้งใจไม่เป็นธรรมชาติ ไม่เหมือนตอนครั้งคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ตอนนั้นยังดูสดอยู่ เหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน แต่อันนี้ฝืดมากและไม่รู้จะโดนคดีหรือเปล่า
@การสลายม็อบ บางคนบอกว่านี่คือความพ่ายแพ้ บางคนบอกว่านี่คือเชื้อ ที่เห็นชัดว่า คนไม่พอใจรัฐบาลมีกลุ่มหนึ่งทีเดียว ถ้าปะทุ พูดถึงกฎหมายปรองดองและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลุ่มนี้กลับมาแน่
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ ผมคิดว่า ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเรียกว่าความพ่ายแพ้หรือไม่ เอาเป็นว่าไม่ประสบความสำเร็จ ประการที่สอง การกลับมาใหม่ ก็เป็นไปได้นะ เพียงแต่ว่า ผมรู้สึกว่า รอบนี้เสียself พอสมควร ถ้าคุณจะมารอบหน้า คำถามแรกเลยคือใครเป็นผู้นำ
@อาจจะต้องเปลี่ยนจากเสธ.อ้าย
ผมคิดว่าเช่นนั้น แต่จริงๆ ผมเชียร์เสธ.อ้ายนะ (หัวเราะ) พอมีข่าวว่า เสธ.อ้ายจะกลับมา ผมเชียร์เลย อย่าให้เป็นข่าวลือ ขอให้เป็นข่าวจริง ผมชอบท่วงทำนองแก แกเป็นคนน่ารัก เวลาแกพูด การใช้ภาษา โดยส่วนตัวผมมองว่า แกมีภาษาที่สนุก ถึงแม้คำจะดูน่ากลัว ดุดัน แต่อยู่ในสังคม พวกเราได้ยินปุ๊บผมไม่รู้สึกกลัว แต่สนุกและสะท้อนสิ่งที่อยู่ลึกๆของแก
@ดูเหมือนเสธ.อ้าย ยังมีปัญหาการครีเอทีฟ อะไรใหม่ๆ ให้โดนใจคน ประเมินยังไง
ผมคิดว่า ดูจากภาษาก่อน การใช้คำภาษามาจากยุคเก่า ก็อาจจะได้คนแบบหนึ่ง ที่มีอายุ ท่วงทำนองอุดมการณ์ ยังเกาะกุมชุดความคิดแบบนี้ แต่ จปร.รุ่นหนึ่ง ก็เหลือไม่กี่คนแล้วนะ ต้องคิดเรื่องนี้ให้มาก ดังนั้น ผมคิดว่า แกเดินทางมาปลายยุคสมัยแกแล้วละ นี่ก็เป็นการปรากฎตัวให้เห็นว่า คนชุดความคิดแบบนี้ยังคงหลงเหลืออยู่ แต่ก็มีไม่มากหรอกครับ
@ในฐานะเป็น ครีเอทีฟ ตั้งแต่สมัยทำเอ็นจีโอ จนถึงวันนี้ วิธีคิดเรื่องม็อบ ค่อนข้างแตกต่างจาก นปช.หลัก ค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะช่วงหลังพฤษภา 53 และก่อนหน้านั้น เป็นคนเริ่มต้นใช้สัญลักษณ์สีแดง ตอนนั้นเป็นยังไง
ตอนนั้นผมก็อ่านแล้วว่า จะมีการลงประชามติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ผมก็ไปศึกษาว่า การรณรงค์ทั่วโลก เขาทำกันยังไงเวลาลงประชามติ คือในโลกนี้ เวลาลงประชามติเป็นเรื่องของสี คือ รับหรือไม่รับ แต่ว่าเขาจะไม่มา พูดว่า yes or no แต่มันเป็นสัญลักษณ์ที่รู้สึก สัญลักษณ์ มันลึกมากนะครับ มันทำงาน ถึงจิตใต้สำนึก มันมากกว่า ถ้อยคำหรือคำพูด ซึ่งก็มีเขียวกับแดง ทีนี้ เราเป็นฝ่ายไม่รับร่าง
ผมก็เสนอให้เราใช้สีแดง แล้วใช้กลยุทธแบบนี้ ทางสัญลักษณ์ เข้ามาช่วย
แรกๆ ก็ไม่มีคน get นะ จนกระทั่งแกนนำรุ่นหนึ่งถูกจับ คดีหน้าบ้านป๋าเปรม ผมเป็นแกนนำรุ่นที่ 2 ในเวลานั้น ก็ไม่มีใครขวางผมแล้วนี่ (หัวเราะ) ผมก็ลุยเลย
พอขึ้นไปเป็นแกนนำรุ่นที่ 2 อยู่ในช่วงรณรงค์รับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญพอดี ผมก็เลยมีโอกาส ดันเรื่องการใช้สัญลักษณ์สีแดง เป็นแดงไม่รับ ตอนนั้นแคมเปญคือ “แดงไม่รับ” ตอนนั้นพรรคพลังประชาชนยังใช้เสื้อสีน้ำเงินอยู่ แต่ต่อมากระแส “แดงไม่รับ” แรงขึ้น เขาก็เปลี่ยนเสื้อเป็นสีแดง นักการเมือง หรือผู้มีชื่อเสียง หลายๆ คน เวลาไปเลือกตั้งก็ใส่เสื้อสีแดงเข้าคูหา กลายเป็นประเด็น เพราะมีคนไปถามคุณสดศรี สัตยธรรม กกต. ว่า การใส่เสื้อสีแดงเข้าคูหาไปลงประชามติผิดกฎหมายหรือไม่(หัวเราะ)
อันนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้น แล้วหลังจากนั้นก็หายไป กระทั่งคุณจตุพร พรหมพันธุ์ นัดพรรคพวกไปที่อิมแพคเมืองทองธานี แล้วบอกให้ใส่เสื้อสีแดงครั้งแรก พอแกชวนอย่างนี้ ปรากฎว่าคนเอาด้วย ใส่เสื้อสีแดงมา พี่ตู่แกเลย get เรื่องนี้ จริงๆ คุยกันมาก่อนหน้านี้ แต่แกนนำไม่ค่อย get เรื่องแบบนี้ เพราะมันเป็นกลยุทธ ทางการตลาดการแคมเปญ เป็นอีกฟากหนึ่งซึ่งในฝ่ายนักกิจกรรม นักเคลื่อนไหว ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ในภาคธุรกิจ การเคลื่อนไหวแบบนี้ เป็นเรื่อง simple มากๆ
@กังวลไหม ที่สีแดง อาจจะถูกตีความไปรูปแบบการเมืองอีกรูปแบบหนึ่งเลยซึ่งอาจจะเป็นเรื่องต้องห้าม ไปเลย
หมอเหวง เคยท้วงผมเรื่องนี้ ตอนผมเริ่มแคมเปญนี้ ผมบอกว่า ผมนะเหรอ ถ้าเป็นหมอ อาจจะมีคนเชื่อว่าใช่เป็นอย่างนั้นมากกว่า แต่ว่าถ้าเป็นผมเริ่มน่ะ ไม่ใช่ เพราะหน้าตา บุคคลิกผม ประวัติที่ผ่านมา ไม่มีเรื่องแบบนี้อยู่เลย ผมยังแซวหมอเหวงว่า งั้นโค้ก ก็คอมมิวนิสต์ สิ โค้กเป็นสีแดง
@พอเคลื่อนไปราชประสงค์ มีการผูกผ้า
จริงๆ มันซับซ้อนกว่านั้น คือ จริงๆ ผมออกแบบให้เป็นเรื่องการใช้กิจกรรมอะไรบางอย่าง เริ่มแรกผมนึกถึง “ปรายอินเลิฟ” ที่ปราย ซึ่งจะมีหลักกิโลเมตรที่ 1 แล้วคนจะยืนถ่ายรูป ปรายอินเลิฟ ซึ่งสอดคล้องกับ culture ของ social network ซึ่งเป็น culture ของการแชร์ภาพ การเล่าเรื่องด้วยภาพ ดังนั้น คนจะหา location เพื่อไปถ่ายรูป มาแชร์ เป็นวัฒนธรรมนะ คือคนต้องไปหามุมถ่ายรูปเสาร์อาทิตย์ ผมนึกถึงป้านราชประสงค์ คือ ปรายอินเลิฟ
นอกจากถ่ายรูปธรรมดา ต้องมีแอคทิวิตี้ ที่สื่อความหมายได้ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์หลังสลายการชุมนุม ผมคิดว่าการผูกผ้าแดง แสดงการรำลึกถึงผู้เสียชีวิต เรื่องอะไรแบบนี้ ดังนั้น ผมก็ออกแบบเป็นแบบนี้ แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะลามปามอะไรมากมาย
ผมคิดว่ามันเกิดจากการผิดพลาดของฝ่ายรัฐเวลานั้น ที่เข้ามาแทรกแซงกิจกรรมนี้
@ กิจกรรมเชิงสัญลักษณ์นี้แรงถึงขนาดรัฐเอาป้ายออก
ผมไม่เข้าใจนะครับ ทุกวันนี้ยังไม่มั่นใจว่า เขาเอาป้ายออกไปทำไม คือ ผมเดานะ ผมคิดว่า เขากำลังงง ว่านี่มันอะไร ทำไมคนถึงออกมา แล้วดึงดูดคนให้มายืนที่ป้ายนี้ ได้ คือเขายังอ่านไม่ออกว่าเกมส์คือเกมส์อะไร เขาอาจจะคิดว่า ถ้าไม่มีป้าย ก็คงไม่มีคนมา ทำกิจกรรมที่นี่กระมัง แต่ที่ไหนได้ มันตีลังกา พอป้ายหายปุ๊บมันกลายเป็นข่าวใหญ่เลย
@คุณกำลังใช้กิจกรรมเล็กๆ ทำให้เกิดการยึดพื้นที่สื่อมวลชนด้วย เพราะสื่อมวลชนก็จะมีภาพเหล่านี้เกิดขึ้นซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ใช่ภาพชูป้ายประท้วง อันนี้ด้วยหรือเปล่า
มีช่างภาพสำนักข่าวต่างประเทศ ซึ่งเขาไม่ใช่เสื้อแดง เขาคุยกับผม เขามาขอร้องว่า เวลาทำกิจกรรมอะไร ให้นึกถึงช่างภาพด้วย เพราะถ้านึกถึงช่างภาพแล้ว สิ่งที่คุณทำจะปรากฎอยู่หน้า 1 แล้วเล่าเรื่องด้วยภาพ ดังนั้น เวลาออกแบบกิจกรรม ช่างภาพบอกว่าต้องนึกถึงเขาให้ได้ อย่าลืม
กิจกรรมของผมจะให้มวลชนมีส่วนร่วม แต่แอคชั่นนั้น ผมจะรู้เลยว่า ภาพนั้นคือภาพอะไร จริงๆ แล้วเป็นความรู้ของพวกกรีนพีช ที่เขาทำเรื่อง direct action เวลาเขาทำ เขาคุยกันบนโต๊ะจบ จะรู้เลยว่า ภาพที่จะลงข่าวหนังสือพิมพ์คือภาพอะไร ก่อนมีการตีพิมพ์ ซึ่งไม่ใช่ภาพแจกนะครับ แต่เขาเซททั้งหมด เพื่อจะสื่อภาพนี้ มันคือการออกแบบ การรณรงค์ ซึ่งนักรณรงค์ ควรจะทำแบบนี้ อย่างกรีนพีซ ไม่ได้รณรงค์ระดับประเทศ แต่เขารณรงค์ระดับโลก บางกิจกรรมเขาใช้คน 3- 5 คนแล้วสั่นสะเทือนโลก แล้วดึงให้มีคนในสังคมอภิปรายต่อด้วย ไม่ใช่แค่รู้ว่ามีข่าว แต่ทำให้เกิดกระแสได้ด้วย
ผมคิดว่า กระบวนการสื่อสารสาธารณะแบบนี้ มันควร ถูกนำมาใช้ในทางการเมือง ไม่งั้น การเคลื่อนไหวทางการเมือง ก็จะไปพึ่งพาปริมาณผู้เข้าชุมนุม ซึ่งมันเป็นการผลักภาระให้ประชาชนมาร่วม ทั้งที่ในบางกิจกรรม ไม่จำเป็นต้องมาเยอะขนาดนั้น อันที่สอง ในบางสถานการณ์มันล่อแหลม กิจกรรมต้องให้ความรู้สึกนุ่มนวน
@ประเภท โกรธ แต่ชกไม่ถึง อำนาจรัฐไม่สามารถเข้ามาก้าวก่ายได้
อาจจะหงุดหงิดผมนิดหน่อย ผมยอมรับให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกหงุดหงิดกับผมได้บ้าง แต่ผมไม่อนุญาตให้เขาโกรธผม เวลาเราประคับประคองกัน เวลาเราเล่นอยู่ในเกมนี้ด้วยกัน ผมอาศัยเขานะ หมายความว่า เวลาเรารณรงค์ ถ้าคุณสุเทพ ไม่แหย่ผม ผมก็ไม่สามารถทำเรื่องนี้ได้ ถ้า ผบ.ทบ. ตอนนั้น คุณประยุทธ์ ไม่ตวาดตาใส่ผมบ้าง ผมก็ไม่สามารถจุดประเด็นนี้ขึ้น ดังนั้น มันเป็นการ ผสมผลานความพอดี คือทำยังไงให้เขาไม่โกรธ สองคือทำยังไงให้สาธารณชนเห็นว่า กิจกรรมที่เราทำอยู่ อยู่ภายใต้สิทธิ ที่ผมจะทำได้และเขาสามารถให้การสนับสนุนกิจกรรมแบบนี้เขารับได้ แม้ว่าเขาจะอยู่อีกปีกฝ่ายหนึ่ง
@เช่น การนัดกันใส่เสื้อกันหนาว
อันนี้เป็นต้น อันนี้ เป็นการหยอกกัน หยอก เสธ.อ้าย
@ใส่อารมณ์ขันเข้าไป
ซึ่งมันเป็นเทคนิคสำคัญนะ หนึ่งในกลยุทธ์ในทางการเมือง คือทำให้ข้อเสนอของฝ่ายตรงข้ามเป็นเรื่องน่าขบขัน
@นี่คือกลยุทธหนึ่งที่ใช้
แล้วผมคิดว่ามันเหมาะมากกับสังคมไทยตอนนี้ ไม่งั้นมันจะด่าทอกันอย่างแรง ข่มขู่กัน ตะคอกกัน ว่า ถ้าอย่างนี้ จะเอาหน้าตักมาเกกัน ซึ่งการเกหน้าตักแบบนี้สังคมส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่สังคม 2 สี เขารับไม่ได้ แต่ถ้าคุณหยอกกันไปมา แล้วมีอารมณ์ขันกันบ้าง ผมคิดว่า คนกลางๆ อนุญาตให้เล่นเกมแบบนี้ แล้วเขาสนุกที่จะฟังแล้วก็ล้อเล่นด้วย บางทีเขาก็สนุกล้อเล่นด้วยคน เราก็จะได้มวลชนแบบนี้ มาสมทบ
@เสธ.อ้าย ยังรีแบรนดิ้งทันไหม
ทันครับ ถ้าสนใจ เรื่องความขำขันก็ลงท้ายด้วย เสธ.อ้ายเชิญยิ้ม เลยครับ
มติชนออนไลน์
จากคุณ |
:
น้ำมิตร
|
เขียนเมื่อ |
:
9 ธ.ค. 55 10:52:46
A:58.8.187.109 X:
|
|
|
|