เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกยิ่งกว่าตอนเป็นนายกรัฐมนตรี
จากปรากฏการณ์หนังสือพิมพ์และเว็บ ไซต์สื่อดังระดับโลกทั้ง บีบีซี
เอเอฟพี เอพี รอยเตอร์ นิวยอร์กไทม์ เดอะ เทเลกราฟ ซินหัว ฯลฯ
พร้อมใจประโคมข่าว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ ของไทย ถูกทางการตั้งข้อหา
คดีฆาต กรรม จากเหตุการณ์ปราบปรามการชุมนุมทางการเมือง
เดือนเม.ย.-พ.ค.2553 เมื่อครั้งเป็นรัฐบาล
จนเป็นเหตุให้คนตาย 99 ศพ บาดเจ็บเกือบ 2,000 คน
ขณะที่สื่อไทยก็เปิดพื้นที่รายงานละเอียดยิบต่อความคืบหน้าครั้งสำคัญ
ทางประวัติศาสตร์ เหตุการณ์นองเลือดทางการเมืองครั้งใหญ่สุดของ
ไทยในระดับเดียวกับเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 2516, 6 ตุลาฯ 2519 และ
พฤษภาทมิฬ 2535
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หัวหน้า
พนักงานสอบสวนคดี 99 ศพ แถลงความเห็นพนักงานสอบสวน 3 ฝ่าย
ดีเอสไอ อัยการ ตำรวจ
มีมติแจ้งข้อหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
อดีตรองนายกฯ และอดีตผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถาน การณ์ฉุกเฉิน
(ศอฉ.) ฐานร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59, 83, 84 และมาตรา 288 ระวาง
โทษอย่างเบาะๆ จำคุก 15-20 ปี หนักหน่อยก็ตลอดชีวิต จนถึงสูงสุดคือ
โทษประหารชีวิต
การตั้งข้อหา "อภิสิทธิ์-สุเทพ" ครั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากข้อเท็จจริงอัน
เป็นข้อยุติโดยศาล
ตามที่มีคำสั่งในคดีไต่สวนชันสูตรสาเหตุการตายของนายพัน คำกอง
ว่าเสียชีวิตจากกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่เข้าปฏิบัติการตามคำสั่งของ
ศอฉ.
เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้ออกหนังสือเชิญ "อภิสิทธิ์-สุเทพ"
มาพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อหาในวันที่ 12 ธ.ค. นี้
แต่ผู้ต้องหาทั้งสองขอเลื่อนเป็นวันที่ 13 ธ.ค.
ตามการวิเคราะห์ของผู้^^วชาญทางการเมืองเชื่อว่า
การตั้งข้อหาอาญาร้ายแรงกับ "อภิสิทธิ์-สุเทพ" ครั้งนี้จะส่งผลสะเทือน
อย่างใหญ่หลวง ต่อพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะแกนนำฝ่ายค้านแทบทุกมิติ
ถึงกระนั้นก็ยังพอหายใจทั่วท้องได้บ้างว่า ถึงไม่มีเอกสิทธิ์ส.ส.คุ้ม ครอง
เนื่องจากอยู่ในระหว่างการปิดสมัยประชุมสภา
แต่เท่าที่ฟังจากนายธาริตคือ วันที่ 13 ธ.ค. ที่ทั้งสองคนนัดเข้ารับทราบ
ข้อหา เมื่อดีเอสไอแจ้งข้อหาและสอบสวนเสร็จก็จะใช้ดุลพินิจปล่อยตัว
ไป โดยไม่ขอศาลฝากขัง
แปลอีกอย่างก็คือ "อภิสิทธิ์-สุเทพ" ยังไม่ต้องถูกส่งตัวเข้าไปนอนใน
เรือนจำ เหมือนผู้ต้องหาแกนนำเสื้อแดงหลายๆ คนเคยมีประสบการณ์
มาแล้ว
เพราะถึงดีเอสไอจะมีความจริงจังในการทำคดี 99 ศพ แต่ขณะเดียวกัน
ก็ยังต้องเห็นแก่หน้าคนที่เคยเป็นถึงนายกรัฐมนตรี โดยไม่ทำอะไรให้
รุนแรงเกินไป แม้จะต้องขัดใจกองเชียร์บ้างก็ตาม
นอกจากนี้การที่ผู้ต้องหาในคดีเป็นแกนนำพรรคฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล
โดยตรง
ทางดีเอสไอยิ่งต้องทำทุกอย่างให้รอบคอบรัดกุม เป็นขั้นเป็นตอนโดย
ยึดตัวบทกฎหมายเป็นหลัก ต้องไม่ทำอะไรก็ตามที่อาจส่อให้เห็นถึง
ความอาฆาตพยาบาทหรือกลั่นแกล้งทางการเมือง
เพราะได้ชื่อว่าข้อหาฆ่าคนตาย ก็มีความร้ายแรงในตัวของมันเองอยู่แล้ว
มีโทษจากเบาไปหาหนักตั้งแต่ติดคุกไปจนถึงประหารชีวิต
ที่สำคัญกระบวนการตอนนี้ยังเป็นแค่ "กระดุมเม็ดแรก" จากคดีการตาย
ของนายพัน คำกอง 1 ใน 99 ศพเท่านั้น
จากการเปิดเผยของนายธาริต ระบุยังมีอีก 35 คดี ที่มีพยานหลักฐาน
ทำให้เชื่อได้ว่า อาจเป็นการตายโดยฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐเช่นเดียวกับ
นายพัน คำกอง
ใน 35 คดี รวมถึงคดีนายชาญณรงค์ พลศรีลา ศพรายที่ 2 ที่ศาลอาญา
มีคำสั่งชี้ชัดไปแล้วว่า เป็นการตายโดยฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐผู้ปฏิบัติหน้าที่
ตามคำสั่ง ศอฉ.
ยังมีอีก 3 คดี 3 ศพ คือ นายชาติชาย ชาเหลา ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ
หรือน้องอีซา และนายบุญมี เริ่มสุข
ที่ศาลอาญานัดฟังคำสั่งคดีไต่สวนชันสูตรสาเหตุการตาย
ในวันที่ 17 กับ 20 ธ.ค. นี้ และวันที่ 16 ม.ค. ปีหน้า ตามลำดับ
และคาดว่าจะทยอยตามมาอีกเรื่อยๆ
จากสภาพการณ์ดังกล่าวจึงไม่มีความจำเป็นใดที่ดีเอสไอต้องไป
กลั่นแกล้งนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ แค่ปล่อยให้ทุกอย่างว่ากัน
ไปตามกระบวนการกฎหมาย
ช้าหน่อย แต่ชัวร์กว่า
เพราะขนาดดีเอสไอชี้แจงว่าการตั้งข้อหาฆ่า เป็นการดำเนินการตาม
ขั้นตอนกฎหมายที่ต่อยอดมาจากคำสั่งศาลยุติธรรมในคดีชันสูตรสาเหตุ
การตายของเหยื่อ
ก็ยังถูกพรรคที่ผู้ต้องหาทั้งสองสังกัดอยู่โจมตีว่า การเร่งรีบตั้งข้อหา
อภิสิทธิ์-สุเทพ ช่วงนี้มีการตั้งธงไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ทันก่อนเปิดสมัย
ประชุมสภาวันที่ 21 ธ.ค. จะได้ไม่มีเอกสิทธิ์ส.ส.คุ้มครอง
พรรคประชาธิปัตย์พยายามกรอกหูประชาชนในสังคมว่า ตนเองกำลัง
ตกเป็นฝ่ายถูกรัฐบาลที่ใช้ดีเอสไอเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งคุกคาม
แล้วก็เป็นนายอภิสิทธิ์ที่พยายามเก็บอาการ ทำใจดีสู้เสือ
ในฐานะอดีตนายกฯ คนแรกของไทยที่ถูกตั้งข้อหาดำเนิน
คดีอาญาร้ายแรง จากการออกคำสั่งใช้กำลังอาวุธปืนและ
กระสุนจริงเข้าสลายการชุมนุมของประชาชน
ตายเกือบร้อย เจ็บนับพัน
กระนั้นก็ยังยืนยันการดำเนินการช่วงสลายการชุมนุมอยู่ภายใต้
การประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จุดประสงค์เพื่อต้องการให้บ้านเมือง
เข้าสู่ภาวะปกติ
ไม่เคยมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่สลายการชุมนุม แต่ยังให้หลีกเลี่ยงการ
ใช้กำลังทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมถึงแก่ชีวิต และการปฏิบัติหน้าที่ทุกครั้ง
มีการร้องขอต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งอนุญาต
พร้อมประกาศว่าถึงที่สุดหากศาลตัดสินให้มีความผิดถึงขั้นต้องติดคุก
หรือถูกประหารชีวิต ก็พร้อมยอมรับคำตัดสิน โดยจะไม่ยอมต่อรอง
แลกกับการที่รัฐบาลชุดนี้พยายามจะออกกฎหมายล้างผิดคนโกงเด็ดขาด
เป็นวาทกรรมที่ฟังแล้วดูดี
แต่อีกมุมหนึ่งก็สะท้อนถึงความเป็นประชาธิปัตย์ ไม่ว่าในยามประสบ
ความสำเร็จรุ่งโรจน์หรือตกต่ำถึงขีดสุด
ก็ไม่เคยก้าวข้ามพ้น "ทักษิณ" เพื่อกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้เลย
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd2Iyd3dNakE1TVRJMU5RPT0=§ionid=TURNd05BPT0=&day=TWpBeE1pMHhNaTB3T1E9PQ==
แม้ว่าจะเป็นคดีอาญา ..... แต่หากว่าเป็นรัฐบาลปชป.คดีนี้ก็ไม่มี
การหยิบยกขึ้นมาพิจารณา ...แน่นอน
แต่ขั้นตอนใหญ่อยู่ที่การพิจาณาของศาล ...มันก็อาจจะหมือนกับคดี
พธม.นั่นแหละค่ะ ......อำนาจตุลาการเป็นอิสระ และไม่ได้มาจาก
ปวงชนชาวไทย ...จะไปคาดหวังอะไรกันมากมาย ....