ความคิดเห็นที่ 1 อันนี้ผลของการประกันรายได้สองปี ที่ทำไป ผมเข้าใจว่าตัวเลขที่คุณกิตติรัตน์ให้ข่าวว่า ปีแรก 61,000 ล้าน ปีที่สอง 71,000 ล้านบาท น่าจะเป็นตัวเลขที่รวมค่าใช้จ่ายในการทำโครงการเข้าไปอีก ก็จะตกอยู่ประมาณปีละ 5 พันล้าน ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้ การจำนำราคา จะใช้มากกว่าอีกปีนึงประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท เพราะจะมีค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บ การตรวจสอบ และต้นทุนการเงินเข้ามาเพิ่มอีก จากคุณ : Lpg_Horse เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 55 21:28:34 A:110.171.132.154 X:

ความคิดเห็นที่ 2 กระทู้นี้สั้น ๆ แค่นี้ครับ อยากให้คนที่ไม่เคยอ่านเอกสารชุดนี้ ลองเปิดอ่านดู อาจจะช่วยให้เข้าใจหลักการของโครงการ และมีทัศนคติที่ดีกับการประกันรายได้มากขึ้น วางลิงก์อีกทีครับ ในกระทู้ ไม่ขึ้นเป็นลิงก์ http://www.dit.go.th/uploads/Manual_Agri54.pdf จากคุณ : Lpg_Horse เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 55 21:31:47 A:110.171.132.154 X:

ความคิดเห็นที่ 3 ขอบคุณมากครับ ได้ประโยชน์มาก จากคุณ : TFEX RETURN เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 55 21:41:47 A:27.55.11.110 X:

ความคิดเห็นที่ 4 ขอบคุณค่ะ คุณ Lpg_Horse รายละเอียดเยอะเหมือนกันนะคะิหกสิบกว่าหน้า สงสัยต้องเก็บไว้สักพักก่อนๆ ว่างถึงจะได้อ่าน จากคุณ : MT7KK เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 55 21:49:48 A:131.181.251.12 X:

ความคิดเห็นที่ 5 บางทีเราว่าถ้ารัฐบาลหรือฝ่ายค้าน มีคนหรือทีมงานทึ่จัดการแปลข้อมูลสนับสนุนทางวิชาการของนโยบายที่ตัวเองเสนอใช้ ให้ประชาชนได้เขาใจง่ายๆ อาจทำให้ประชาชนยอมรับนโยบายต่างๆได้ง่ายขึ้นนะคะ และเป็นการสดงให้เห็นด้วยว่านโยบายต่างๆได้มีการศึกษาวางแผนงานมาพอสมควร ไม่ใช่เป็นการประกาศนโยบายเพื่อหาเสียงเท่านั้น จากคุณ : MT7KK เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 55 21:58:42 A:131.181.251.12 X:

ความคิดเห็นที่ 6 จะเก็บไว้อ่านเหมือนกันครับ จากคุณ : Khmer Su-rin เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 55 22:03:54 A:171.7.158.175 X:

ความคิดเห็นที่ 7 นโยบายอื่น ๆ ผมไม่แน่ใจว่า มีการศึกษามาขนาดไหน แต่เรื่องนโยบายจำนำข้าวนั้น เชื่อว่า ไม่ได้มีการศึกษาข้อดีข้อเสีย เทียบระหว่างการจำนำแบบเดิม ๆ กับการจำนำทุกเมล็ด แน่ ๆ คิดว่าคงมีแต่ความเชื่อว่า ถ้าหากเอาข้าวออกจากตลาดไปมาก ๆ จะทำให้ราคาขึ้นได้ และเมื่อราคาขึ้นไปอยู่ในระดับที่เหมาะสม ก็ระบายข้าวออกมา รัฐก็จะขาดทุนไม่มาก หรือไม่ขาดทุน แต่พอทำไป ตัวแปรต่าง ๆ ไม่แปรไปอย่างที่คิด เอาข้าวออกจากตลาด ราคาข้าวขึ้นไปก็จริง แต่เมื่อถูกแทนที่ด้วยสินค้าทดแทน (ข้าวจากประเทศอื่น) ก็ทำให้ราคาสูงไปไม่มาก และการที่สูงขึ้นได้ ผมคิดว่าเป็นเพราะการทดแทนยังไม่สมบูรณ์ คิดว่าปีหน้านี้น่าจะเห็นผล ของข้าวไทย ที่ถูกแทนที่ด้วยข้าวประเทศอื่นอย่างสมบูรณ์ น่าจะทำให้ราคาข้าวไทย ลดลงไปอยู่ในระดับเดียวกับประเทศอื่น อันนี้ไม่รวมกับข้าวหอมมะลินะครับ เพราะข้าวหอมมะลิยังเป็นสินค้าพรีเมี่ยม คนซื้อยังไม่ใช่เลือกด้วยราคาเป็นหลัก แต่เลือกด้วยความชอบ ซึ่งตอนนี้ไม่แน่ใจว่า การจำนำข้าว เป็นการรักษาคุณภาพข้าวจริงหรือไม่ หรือเป็นการทำลายคุณภาพกันแน่ ซึ่งถ้าคุณภาพข้าวหอมมะลิต่ำลง ก็จะถูกแทนที่ได้ง่าย เมื่อถึงวันนั้น ราคาก็จะแสดงให้เห็นว่า ข้าวไทยยังมีราคาดีกว่าประเทศอื่นหรือไม่ จากคุณ : Lpg_Horse เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 55 22:14:52 A:110.171.132.154 X:

ความคิดเห็นที่ 8 ผมชื่นชมคุณ Lpg_Horse จริงๆครับที่เอาข้อมูลมาแชร์ โต้แย้งกันด้วยข้อมูลแบบนี้ผมชื่นชมครับ เดี๋ยวจะลองศึกษาดูให้ละเอียดครับ จากคุณ : prince-IEC เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 55 22:23:08 A:1.2.174.80 X:

ความคิดเห็นที่ 9 คห.8 จริง ๆ เอกสารชุดนี้ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ เท่าที่ดู แต่ผมว่า ที่ในห้องราชดำเนิน บอกว่า การประกันรายได้ไม่ดี ส่วนใหญ่สองสามประเด็นจะอยู่ที่ว่า โรงสีกดราคารับซื้อ แล้วให้ชาวนาไปรับส่วนต่างจากรัฐ กับอีกประเด็นคือเรื่อง คนได้รับส่วนต่างนั้น จะเป็นเจ้าของที่ดิน ชาวนาที่เช่า ไม่ได้เงินส่วนนี้ เท่าที่ผมอ่านดู จากวิธีการขึ้นทะเบียน ในประเด็นเรื่องเจ้าของที่รับเงินนั้น ผมเรียกว่า มันเป็นการทุจริตแน่นอน เพราะหลักเกณฑ์เขียนชัดมาก ว่าใครเป็นคนรับ แล้วกรณีต่าง ๆ นั้น มีวิธีปฏิบัติแบบไหนอย่างไร แต่อย่างที่ผมเขียนในกระทู้ คือหลักเกณฑ์นี้เป็นหลักเกณฑ์ปรับปรุง ก็ไม่แน่ใจว่า เนื้อหาพวกนี้เคยใช้หรือยัง แต่อย่างน้อยก็คือ จะเห็นว่า ถึงที่ผ่านมาจะมีปัญหา แต่ถ้าหากทำได้ตามเอกสารนี้ เรื่องเจ้าของที่ดิน อ้างสิทธิรับเงินส่วนต่าง ทำได้ก็ต้องทุจริตแน่นอน สำหรับเรื่องโรงสีกดราคารับซื้อ อันนี้ผมว่า เพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ต้องดูราคาข้าวสาร กับราคาข้าวเปลือกในแต่ละช่วงเวลา เพราะถ้าใช้อัตราส่งมอบของรัฐมาคำนวณ จะได้ว่า ข้าวเปลือกราคา 15,000 จะคิดเป็นข้าวสารในราคาประมาณ 25,000 บาท หรือราคาข้าวเปลือกเป็นราคา 60% ของข้าวสาร ดังนั้น ถ้าในสถานการณ์ที่ราคาตลาด มีราคาข้าวสารเป็น 15,000 บาท ราคาข้าวเปลือกก็ต้องไม่เกิน 9,000 บาท มันถึงจะเป็นราคาที่โรงสีทำกำไรได้ และราคา 9,000 บาท นั้น ต้องเป็นราคาที่ความชื้น 15% ด้วย ซึ่งถ้าดูจากข่าวช่วงจำนำข้าวนี้ ก็จะได้ว่า ข้าว 15,000 บาท จะได้เงินประมาณ 12,000 บาท หรือโดนหักความชื้นไป 20% ดังนั้น ถ้าเทียบบัญญัติไตรยางค์ ข้าว 9,000 บาท ราคาที่โรงสีรับซื้อที่ความชื้นแบบที่ทั่ว ๆ ไปมีกัน ก็จะขายได้ราคาประมาณ 7,200 บาท สรุปจุดนี้คือ ถ้าหากราคาข้าวสารในตลาดอยู่ที่ 15,000 บาท แล้วโรงสีรับซื้อ(จ่ายเงินสุทธิ) ประมาณ 7,000 บาท ผมว่า ไม่น่าจะเรียกว่ากดราคานะครับ เพราะถ้าโรงสีซื้อแพงกว่านี้มาก ก็คงไม่สามารถทำกำไรได้ ตัวเลขที่พูด ๆ ไปผมพยายามพูดแบบประมาณ ๆ บางตัวอาจจะไม่ค่อยถูก แต่แนวคิดมันอยู่แถว ๆ นี้ คือ การจะดูว่า โรงสีกดราคามั้ย คงดูแค่ว่า โรงสีรับซื้อถูก ชาวนาอยู่ไม่ได้แค่นั้นคงไม่ได้ เพราะถ้าแพงกว่านี้ ก็คงขายในราคาตลาดไม่ได้ แล้วจากตัวอย่างข้างบน ชาวนาก็จะได้รับเงินประกันรายได้จากรัฐบาล 1,000 บาทต่อตัน รวมแล้วก็ได้แค่ประมาณ 8,000 บาท อันนี้ก็เป็นปัญหา เพราะเหมือนกับว่าโดนหลอก ได้เงินไม่ถึงหมื่นตามราคาประกัน แต่จริงๆ  ไม่ใช่ แต่คิดว่าอันนี้พอผ่านการจำนำข้าวแบบรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ตรงส่วนนั้นคงเข้าใจได้ว่า ได้เงินไม่ครบตามราคาประกัน ก็เพราะโดนหักความชื้น จากคุณ : Lpg_Horse เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 55 22:39:00 A:110.171.132.154 X:

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณมากค่ะคุณม้า โครงการประกันรายได้ ถ้าดูจากตัวเลขการจ่ายชดเชย 2 ปี (52/53 & 53/54) เฉพาะข้าว ก็ = 1.15 แสนล้านบาท   สำหรับโครงการจำนำข้าวทุกเมล็ด ยังคำนวณไม่ได้ว่าจะขาดทุนเท่าไหร่ เพราะข้าวยังเก็บอยูในสต็อคอีกมาก ดูรายการคนหลังข่าวค่ำวันนี้ คุณชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยคาดว่ารัฐจะขาดทุนโครงการรับจำนำข้าวปี 2554/2555 เท่ากับที่ มรว.ปรีดิยาธรเคยประมาณการไว้ที่ 1.7 แสนล้านบาท และให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การเก็บข้าวในสต็อคทุก 10 ล้านตัน จะเสียค่าใช้จ่ายเช่น ค่าเช่าและค่าดมยาเดือนละ 1,500 ล้านบาท ยังไม่รวมค่าดอกเบี้ยจากเงินที่จ่ายค่าจำนำให้เกษตรกรไปแล้ว   ใครๆก็กังวลค่ะ ยกเว้นนายกและ รมว.พาณิชย์   จากคุณ : โพ้นฟ้า เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 55 22:55:39 A:110.169.210.175 X:

ความคิดเห็นที่ 11 นโยบายไหนก็ได้ ถ้านักวิชาการศึกษามาแล้ว แล้วบอกว่าดี และช่วยเหลือชาวนา ไม่ว่าจะประกันราคา หรือว่า จำนำ ขอเพียงแต่ ให้มันสมเหตุสมผล สำหรับราคาที่เกษตรกร (ชาวนา) ควรจะได้ สำหรับข้าวเปลือกเจ้า 5% ที่ 15,000 ต่อเกียน/ตัน ที่ค่าความชิ้น 15% ขอแค่นี้ พอแล้ว จากคุณ : ชาวนาอาชีพ (พฤษภาคม 2510) เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 55 22:58:02 A:110.171.81.73 X:

ความคิดเห็นที่ 12 คุณโพ้นฟ้าครับ ผมว่า ตัวเลขคุณชูเกียรติ อาจจะอ้างอิงจาก TDRI ที่ผมเคยชี้ไปแล้วว่า คิดผิด (บวกเลขผิด) ไปหลายจุด แต่ยังไงก็ไม่ต่ำกว่า 130,000 ล้านบาทแน่นอน อันนี้คำนวณแบบว่า ขายในราคาตลาดทั้งหมด แต่รัฐบาลนอกจากไม่สำนึกเรื่องพวกนี้ ยังมีการนำข้าวไปใช้แบบเศรษฐีอีก คืออย่างทำข้าวถุงขายร้านถูกใจ ก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องขายถุงละ 70 บาท แล้วเนื้อข้าวก่อนทำข้าวถุง ทำไมต้องขาย 5 กก. 38 บาท เพราะราคาตลาด 5 กก.ก็เกิน 100 บาทอยู่แล้ว สินค้าอื่นขายต่ำกว่าราคาตลาด สัก 10% ก็มากแล้ว ถ้าราคาตลาด เป็น 100 บาท ผมว่า ขาย 90 บาท ก็สมเหตุสมผล แล้วค่าทำข้าวถุงอีก ทำไมมีส่วนต่างถึง 22 บาท ถ้าบอกว่าแบ่งให้ร้านค้า 10% ก็ 7 บาท อีก 15 บาท เป็นค่าถุง ค่าขนส่ง มันน่าจะมากเกินไป ผมว่า สมมติขาย 90 บาท ให้ร้านค้า 9 บาท ค่าถุงลดลงหน่อยเหลือ 12 บาท ราคาเนื้อข้าวที่อคส.ขายออกมา ก็น่าจะ 69 บาท หรือแพงขึ้นอีกประมาณ 30 บาท หรือเฉลี่ยได้เงินมากขึ้นอีก กก.ละ 6 บาท ตันนึง ก็ 6,000 บาท ที่อนุมัติไป 3 แสนตัน รวมแล้วก็เกือบ สองพันล้านบาท แบบนี้ก็ต้องเป็นตัวเลขขาดทุนของโครงการจำนำข้าวแน่นอน จากคุณ : Lpg_Horse เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 55 23:07:38 A:110.171.132.154 X:

ความคิดเห็นที่ 13 นโยบายนี้ดำเนินไปเเล้วด้วยความตั้งใจของพรรคเพื่อไทย ที่ให้สัญญาไว้กับประชาชนที่เลือกพวกเขาเข้ามาทำหน้าที่ ส่วนผลของมันจะออกมาอย่างไรก็คงต้องรอดูกันต่อไป หากมันชั่วร้ายเลวทรามอย่างที่ใครๆกล่าวหากันจริง รัฐบาลชุดนี้ก็อยู่ไม่ได้เเน่นอน  ใจเย็นๆครับ ทำอย่างไรรัฐบาลนี้ก็อยู่ได้ไม่เกินสี่ปีหรอก ผลงานห่วยใครจะโฮ้เลือกเข้ามาอีกก็บ้าเต็มที จากคุณ : ขิงแห้ง เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 55 23:30:27 A:110.168.63.213 X:

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณอีกครั้งค่ะ สำหรับข้อมูลตัวเลขที่แก้ไขให้   เคยฟัง ดร.ศุภวุฒิ พูดเรื่องจำนำข้าว ก็ไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้เลย ให้ความเห็นว่าการที่รัฐบาลจะคาดหวังว่าเมื่อยกระดับราคารับจำนำในประเทศให้สูงแล้ว ในที่สุดจะสามารถยกระดับราคาข้าวโลกด้วยนั้น เป็นไปไม่ได้เลย ข้าวเป็นสินค้าเกษตรซึ่งสามารถผลิตได้ด้วยเวลาสั้น และกระบวนการผลิตก็ไม่ยุ่งยาก  ที่สำคัญคือพื้นที่เพาะปลูกมีอยู่มากมาย การที่ผู้ผลิตจะรวมตัวกันกำหนดราคาตลาดโลกจึงไม่คิดว่าจะเป็นไปได้   โดยยกตัวอย่างกลุ่มโอเป็คที่เป็นกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญของโลก ยังไม่สามารถทำได้ ทั้งๆที่แหล่งน้ำมันดิบมีจำกัด อีกทั้งมีความยุ่งยากซับซ้อนในกระบวนการผลิต มากกว่าการปลูกข้าวมากนัก   จากคุณ : โพ้นฟ้า เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 55 23:45:07 A:110.169.210.175 X:

ความคิดเห็นที่ 15 โดยส่วนตัวมองว่าโครงการนี้ทำให้ชาวนาได้ประโยชน์มากกว่าประกันราคาข้าว รวมไปถึงรัฐบาลมีโอกาสที่จะชดเชยต่ำกว่าการประกันราคาถ้ามีการบริหารจัดการที่ดี แต่ก็ยังมองว่าราคาที่รับจำนำข้าวสูงมากเกินไปจึงทำให้บริหารจัดการได้ยาก การที่รัฐบาลจะทำโครงการนี้ต่อต้องมีการกำหนดราคาที่เหมาะสมกว่านี้ ให้เอกชนมีโอกาสซื้อข้าวจากชาวนาไปทำตลาดได้บ้างโดยที่ชาวนาได้ราคาที่เหมาะสม จากคุณ : ruffian เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 00:44:58 A:180.180.146.217 X:

ความคิดเห็นที่ 16 โครงการประกันราคา  ข้าวชาวนาเอาไปขายให้โรงสี ข่้าวอยู่ในมือโรงสี  ชาวนาได้เงินจากโรงสี  และส่วนต่างที่การประกาศราคาประกันในช่วงนั้นๆ  รัฐบาลจ่ายให้ชาวนาผ่านบัญชีธนาคารธกส ทำให้  ราคาเป็นจริงโรงสี  จะกดราคาข้าวเปลือก  ราคาข้าวทั่วไปจากโรงสีจะต่่ำมาก ประมาณ 6,000-8,000 บาท   ส่วนการจำนำ  ชาวนาขายข้าวให้รัฐบาล รัฐบาลจ่ายเงินให้เกษตรกรผ่านบัญชีธนาคารธกส.  ข่าวอยู่ในมือรัฐบาล  ราคาหน้าโรงสีจะสูง(ที่ไม่เข้าโครงการ) ปีนี้  เกษตรกรส่วนใหญ่จะซื้อขายที่โรงสี  แต่จะเข้าโครงการจำนำน้อย  เนื่องจากรัฐบาลจ่ายเงินให้กับเกษตรกร  ช้า 2-4 เดือน    ขายได้  ประมาณ 9,000 -9,500 บาท จากคุณ : เล็กชาย เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 01:16:27 A:171.4.125.253 X:

ความคิดเห็นที่ 17 นโยบายประกันจะดีสำหรับสถานะการณ์ที่เกิดภัยธรรมชาติครับแต่ไม่เหมาะกับสถานะการณ์ ปกติ นโยบายจำนำจะดีในสถานะการณ์ปกติแต่ถ้าภัยธรรมชาิติมาก็ไม่เหมาะถ้าจะให้ดีสุดยอด สำหรับผม ให้ รบ.รับประกันราคาขั้นต่ำถ้าเกิดภัยธรรมชาติครับแต่ถ้าทำแล้วผมคิดว่าน่าจะครอบ คลุมแล้วครับที่เหลือก็บริหารจัดการ จากคุณ : balance14 เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 01:24:32 A:58.8.217.242 X:

ความคิดเห็นที่ 18 เรื่องนี้ เคยถกกับ สส ปชป คนหนึ่ง ประกันรายได้ ของคุณ ที่บอกว่าเจ๋ง หลักการง่าย ๆ คือ 1 รัฐ กำหนดราคากลาง ข้าวเปลือกทุก 2 สัปดาห์ 2. รัฐกำหนดราคา ประกันที่ 1 หมื่นบาท ตามความชื้น ซึ่งไม่เคย กำหนดมากกว่านี้ เท่าที่ผมตาม มา 3. กำหนดพืนที่ปลูกข้าว 25 ไร่ ต่อ ครอบครัว 4. การขึ้นทะเบียน ให้ คนราชการเช่น ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อบต เป็นคคนรับรองว่า คนนี้มีโนด จริง ครับ เจ้าของโนด 5. กำหนดจำนวน กิโลกรัม ต่อไร่ ในพื้นที่ แต่ละ ตำบล อำเภอ จังหวัด ที่นี้ มาดู เทคนิค ราคาที่โรงสี รับซื้อ ไม่เกิน 7 พันบาทต่อตัน ส่วนมาก น้อยกว่า ข้ออ้าง ความชื้น การนำโนดไปขึ้นทะเบียน โนด ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเกษตรกร ขอให้มีโฉนด เท่านั้น และ รับรองโดย ข้าราชการตามที่ว่า ผมเป็นเจ้าของที่นา ให้เขาเช่า คนเช่านา ไม่สามารถรับเงิน ได้ ผม เจ้าของโฉนด ได้รับเงินเต็ม ๆ การขึ้นทะเบียนสามารถทำได้ แบซับว้อน หมายถึง โฉนดใบเดียว ขึ้นทะเบียนได้ สองครั้ง ถ้าเป็นความร่วมมือของเจ้าของกับ ข้าราชการ การกำหนดปริมาณข้าวต่อไร่ เป็น การหาเสียงที่เห็นชัด พื้นที่ ที่มี สสปชป เป็นเจ้าของพื้นที่กำหนด ถึง 400 กกเศษ แต่ ถ้าไม่ใช่ 210 กก ยังฝึด ๆ ลองไปดูข้อมูล ที่ จ. อุบลหน่อย  เกษตร จังหวัด อ้าง พื้นที่ น้ำมากน้ำน้อย ว่าเข้าไป แค่นี้พอไหมครับ ไอ้ประกันรายได้ของคุณ ที่ผมสามารถ เอาเรื่องนี้มาบอกคุณ เพราะผมเป็นเจ้าของที่นา โดยตรง และ พบการกระทำแบบนี้ มาแล้ว แล้วลองไปสอบถามพื้นที่ ในการปลูกข้าว ปีนี้ ที่ จำนำข้าว ชาวนาเขาว่าอย่างไร  ปีนี ชาวนาที่เขาเช่านา ทำรายได้ถึง 13.5 หมื่น ได้ใช้หนี้ กันเกือบหมด แถมมีเงินที่จะ ใช้จ่ายอีก จนแฮปปี้กันตาม ๆ จะมีข้อมูล อะไรก็แล้ว แต่ อยากให้ จขกท ลงไปสัมผัส  ของจริง ดูบ้าง เพื่อว่า จะเปลี่ยนแนวคิด  ผมเห็น จขกท  พู เรื่องตัวเลข อ้างอิง มาเยอะ หลายสิบ กระทู้  แต่ของจริง ที่ลงไปสัมผัส มันเป็นอย่างไร โลกของความเป็นจริง มันไม่เป็นแบบที่คุณเอาข้อมูลมาอ้าง ผมอาจไม่มีข้อมูล แต่ ผมสัมผัสกับของจริง จากคุณ : pongsri เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 07:20:16 A:101.51.3.0 X:

ความคิดเห็นที่ 19 เรื่องจำนำข้าว ปัญหาของรัฐบาลอยู่ที่การจัดการแน่นอน มีทั้งปัญหาเรื่อง การกำหนดอัตราส่งมอบ ที่เอื้อประโยชน์ให้โรงสีมากเกินไป เพราะถ้าคิดง่าย ๆ โรงสีซื้อข้าวเองจากชาวนา สมมติ 10,000 บาท (ตอนนี้เห็นมีแต่คนบอกว่า ขายได้ราคาดี ก็เอาตัวเลขนี้ก็พอ) สามารถแปรสภาพแล้วขายในราคาตลาด 16,500 บาท หรือส่งออกราคา 580 เหรียญ( 17,500 บาท) ได้ ขณะที่รัฐบาลรับจำนำ 15,000 บาท ต้นทุนข้าวสารของรัฐกลับไปอยู่ที่ 28,000 บาท ทั้ง ๆ ที่ถ้าเทียบบัญญัติไตรยางค์ ก็ไม่ควรเกิน 24,000 บาท ส่วนที่แพงขึ้นไปอีก 4,000 บาท ก็คือการสูญเสียในการบริหารจัดการแน่นอน ปีที่ผ่านมารัฐบาลได้ข้าวขาว มาในสต๊อก ประมาณ 10 ล้านตัน เฉพาะส่วนนี้ก็ขาดทุนไปแล้ว 40,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนที่ไม่น่าจะต้องเสีย แต่ถ้าหากรัฐจัดการบริหารให้ดี ตัวนี้ลดได้ ปัญหาอีกด้านก็จะเกิด เพราะจะไม่มีโรงสียอมเข้าร่วมโครงการแน่นอน เพราะลำพังค่าสีข้าว ตันละ 500 บาท ผมว่า ไม่มีโรงสีไหนเอาด้วยแน่ ๆ จากคุณ : Lpg_Horse เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 07:32:07 A:110.171.132.154 X:

ความคิดเห็นที่ 20 ตอบคุณ pongsri นะครับ ที่คุณพูดมา อันไหนที่ไม่เรียกว่า ทุจริตบ้างครับ ตอนจำนำข้าว พอมีทุจริต ก็บอกว่า ต้องจัดการ ผมก็เห็นด้วยมาตลอด ว่า เมื่อมีทุจริตเจ้าหน้าที่ของรัฐก็จัดการไป โทษนโยบายไม่ได้ อย่างที่คุณเคยบอกว่า คุณเป็นเจ้าของที่ดิน แต่ได้รับเงินชดเชยรายได้ ผมว่า คุณลองอ่านที่หน้า 13 ในเอกสาร บอกว่า ผู้เช่าที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ตามกฎหมาย ต้องทำยังไง ถ้าไม่มีสัญญาเช่าต้องทำแบบไหน ผมว่า จุดประสงค์ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าอยากให้คนปลูกได้เงิน พอคุณที่เป็นเจ้าของที่ไปลงทะเบียนรับเงิน มันก็ผิดอยู่แล้ว และผมเรียกการทำแบบนี้ว่าทุจริต มีการทุจริตทำไมไม่จัดการ กลับบอกว่าโครงการไม่ดี ตัวเลขที่ผมอ้างมา ก็เป็นตัวเลขจากทางราชการเอง มีตรงไหนเป็นเท็จบ้างครับ คุณก็โต้แย้งมาซิครับ อย่างที่คุณชอบพูดว่า ซื้อข้าวกิน กก.ละ 40 กว่าบาท ทำไมข้าวแพง ชาวนาได้เงินน้อย พอมีคนตอบ คุณก็ไม่เห็นเปิดใจรับฟัง ว่าข้าวถุงกับข้าวสาร มันยังมีช่องว่างอยู่ ข้าวหลายยี่ห้อ ก็ต่ำกว่า กก.ละ 40 บาท เยอะแยะ คนเราไม่จำเป็นต้องทำเอง ถึงรู้หรอกครับ ถ้าไม่อย่างนั้น คนเป็นรมต.ตอนนี้เกินครึ่ง ก็เป็นไม่ได้แล้ว ที่ทำงานกันได้ก็เพราะว่า มีข้อมูล ตัดสินตามข้อมูลกันทั้งนั้น หรือว่าไม่จริง จากคุณ : Lpg_Horse เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 07:57:40 A:110.171.132.154 X:

ความคิดเห็นที่ 21 โรงสีได้ แกลบเป็นผลพลอยได้ เดี๋ยวนี้ ตันละ1300ขึ้นครับ ผมซื้อไปใช้ในฟาร์มไก่ บางทีหายากด้วยพวกเอาไปเผาทำไฟฟ้าขาย สมัยก่อนซื้อเป็นคันๆ600 เดี๋ยวนี้ซื้อเป็นตัน เรื่องจำนำข้าว เทียบกับประกันราคา หากว่าเเปรียบเฉพาะตัวเลขผลขาดทุน การทุจริต คงมองๆไม่ได้ในภาพรวมว่า อะไรมันดีกว่าเท่าไร ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นคุณม้า เอาตัวเลข การได้ประโยชน์อื่นๆ จากผลของราคาข้าวที่เพิ่มขึ้น/ ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นในประเทศ/ ส่วนเรื่องปริมาณเงินจากต่างประเทศถึงแม้ว่าข้าวเราสูงขึ้นแต่ปริมาณการขายไม่มาก คงยังไม่ต้องว่าอะไร/ ฐานของจำนวนผู้ที่ได้่รับเงิน การกระจายรายได้ ไปยังประชากรในแต่ละกลุ่มซึ่งมีรูปแบบการบริโภคและการออม แตกต่างกัน ระบบงานของ โครงการจำนำ มันมีส่วนเกี่ยวข้องมากกว่า โครงการประกันราคา มันจึงมีเรื่องให้ติดตามมาก แต่มาช่วยมองทางด้านบวก ว่าอะไรมันหักลบกันแล้ว มันดีกับประชาชนอย่างพวกเราๆ(ไม่ใช่เอาเราเป็นที่ตั้ง) จากคุณ : พ่อไม้ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 08:54:30 A:125.24.53.35 X:

ความคิดเห็นที่ 22 ตามความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ หัวกระทู้พยายามอธิบายว่า การประกันรายได้ ดีกว่า การรับจำนำใช่หรือไม่ครับ แล้วอธิบายด้วยคู่มือการปฏิบัติงานของการประกันรายได้ ฉบับปรับปรุง ของกรมการค้าภายใน สำนักส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตร พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ประเด็นแรกนะครับ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ รัฐบาลชุดปัจจุบันประกาศใช้นโยบายรับจำนำข้าวไปแล้วไม่ใช่หรือครับ ดังนั้นคู่มือนี้จึงเป็นคู่มือที่เขียนขึ้นมาใหม่ โดยที่จะไม่มีโอกาสได้ใช้งานจริงตามที่คู่มือเขียนระบุวิธีการไว้ ใช่หรือไม่ครับ  สำหรับคู่มือที่พรรณาวิธีการขึ้นมาใหม่ที่ไม่มีโอกาสได้ใช้สำหรับผมคิดว่ามันไร้ประโยชน์ครับ ประเด็นที่สอง ลองเปรียบเทียบง่ายๆ ระหว่างนโยบายประกันรายได้ กับนโยบายรับจำนำ ภายใต้เงื่อนไขเดียวกันคือ ในราคาที่รัฐบาลประกาศเท่ากัน เช่นนโยบายประกันรายได้ประกาศราคาข้าวปทุมธานีตันละ 10,000 บาท นโยบายรับจำนำก็ประกาศในราคาเดียวกันดูครับ ว่าทั้งสองนโยบาย นโยบายไหนภาครัฐเสียหายงบประมาณมากกว่ากัน นโยบายไหนเกษตรกร(ตัวจริง)ได้ผลประโยชน์โดยตรงมากกว่ากัน นโยบายประกันรายได้ - จ่ายทันทีที่มีส่วนต่าง ข้อดีคือจ่ายเฉพาะส่วนต่าง แต่ไม่มีโอกาสเรียกคืน ไม่เห็นข้าวในประมาณที่แท้จริง จำกัดจำนวนผลผลิตต่อไร่ และพื้นที่การผลิตจากการคำนวณ นโยบายรับจำนำ - จ่ายทั้งก้อน (ตันละ 10,000 บาท) ใช้งบประมาณสูง แต่มีโอกาสเรียกคืน หรือทำกำไรต่อได้ เพราะมีข้าวอยู่ในมือเห็นปริมาณข้าวที่แท้จริง ถ้าข้าวราคาดีเกษตรกรไถ่ถอนคืนไปก็ไม่ต้องจ่ายส่วนต่าง หรือข้าวหลุดจำนำก็สามารถขายออกได้ตามจังหวะราคาตลาด ซึ่งมีความเคลื่อนไหวที่แตกต่างกัน ดูจากตารางช่วงท้ายของเอกสารที่แนะนำให้ดูก็ได้ครับ ราคาอยู่ระหว่าง 9,000 ถึง 12,000 บาทต่อตัน คุยเฉพาะประเด็นประโยชน์จากนโยบายในเงื่อนไขที่เท่ากันนะครับ ส่วนเรื่องมูลค่าต่อตันไม่น่าจะอยู่ในประเด็นกระทู้นี้ จากคุณ : POE เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 15:17:19 A:58.9.197.192 X:

ความคิดเห็นที่ 23 เรื่องความผิดปกติของนโยบายจากข้อมูลที่จขกท.แนะนำมานะครับ ผลการดำเนินการโครงการประกันรายได้เกษตรกร ปี ๒๕๕๒/๕๓ ๑. สรุปผลการดำเนินงานภาพรวม ข้าวรอบที่ ๑ ขึ้นทะเบียน (ราย) ๓,๕๒๘,๓๓๕ ทำสัญญา (ราย) ๓,๒๗๐,๗๘๙ การจ่ายเงินชดเชย เกษตรกร (ราย) ๓,๑๙๕,๙๖๐ สัญญา (ราย) ๔,๘๒๑,๕๑๑ จำนวนเงิน(ล้านบาท) ๒๘,๕๗๖.๐๑๕ เฉลี่ย  ๒๘,๕๗๖.๐๑๕ หาร ๓,๑๙๕,๙๖๐ =  ๘,๙๔๑.๒๙ บาทต่อราย  ๒๘,๕๗๖.๐๑๕ หาร ๔,๘๒๑,๕๑๑ =  ๕,๙๒๖.๗๘ บาทต่อสัญญา ข้าวรอบที่ ๒ ขึ้นทะเบียน (ราย) ๖๗๓,๗๙๐ ทำสัญญา (ราย) ๘๒๕,๐๑๙ การจ่ายเงินชดเชย เกษตรกร (ราย) ๗๘๔,๔๓๔ สัญญา (ราย) ๑,๒๗๖,๙๒๒ จำนวนเงิน(ล้านบาท) ๑๙,๒๖๗.๑๖๖ เฉลี่ย  ๑๙,๒๖๗.๑๖๖ หาร ๗๘๔,๔๓๔ =  ๒๔,๕๖๑.๘๗ บาทต่อราย  ๑๙,๒๖๗.๑๖๖ หาร ๑,๒๗๖,๙๒๒ =  ๑๕,๐๘๘.๗๖ บาทต่อสัญญา ผลการดำเนินการโครงการประกันรายได้เกษตรกร ปี ๒๕๕๓/๕๔ ๑. สรุปผลการดำเนินงานภาพรวม ข้าวรอบที่ ๑ ขึ้นทะเบียน (ราย) ๓,๘๗๗,๔๙๓(๓,๕๒๘,๓๓๕) ทำสัญญา (ราย) ๓,๗๖๒,๑๑๗(๓,๒๗๐,๗๘๙) การจ่ายเงินชดเชย เกษตรกร (ราย) ๓,๑๓๙,๐๕๙(๓,๑๙๕,๙๖๐) สัญญา (ราย) ๕,๕๘๗,๖๐๔(๔,๘๒๑,๕๑๑) จำนวนเงิน(ล้านบาท) ๓๖,๐๐๑.๐๒๓(๒๘,๕๗๖.๐๑๕) เฉลี่ย  ๓๖,๐๐๑.๐๒๓ หาร ๓,๑๓๙,๐๕๙ =  ๑๑,๔๖๘.๗๓ (๘,๙๔๑.๒๙ บาทต่อราย)  ๓๖,๐๐๑.๐๒๓ หาร ๔,๘๒๑,๕๑๑ =  ๗,๔๖๖.๗๕ (๕,๙๒๖.๗๘ บาทต่อสัญญา) ข้าวรอบที่ ๒ ขึ้นทะเบียน (ราย) ๙๒๖,๘๙๐(๖๗๓,๗๙๐) ทำสัญญา (ราย) ๙๑๖,๓๔๘(๘๒๕,๐๑๙) การจ่ายเงินชดเชย เกษตรกร (ราย) ๘๗๘,๗๐๓(๗๘๔,๔๓๔) สัญญา (ราย) ๑,๗๗๗,๙๖๒(๑,๒๗๖,๙๒๒) จำนวนเงิน(ล้านบาท) ๓๑,๖๐๖.๒๙๕(๑๙,๒๖๗.๑๖๖) เฉลี่ย  ๓๑,๖๐๖.๒๙๕ หาร ๘๗๘,๗๐๓ =  ๓๕,๙๖๙.๒๖ (๒๔,๕๖๑.๘๗ บาทต่อราย)  ๓๑,๖๐๖.๒๙๕ หาร ๑,๗๗๗,๙๖๒ =  ๑๗,๗๗๖.๗๐ (๑๕,๐๘๘.๗๖ บาทต่อสัญญา) จากข้อมูลที่ให้มานะครับ ปี ๒๕๕๒/๕๓ ข้าวปทุมธานีรอบแรกประกันราคา ๑๐,๐๐๐ บาท, รอบสองประกันราคา ๑๑,๐๐๐ บาท ปี ๒๕๕๓/๕๔ ข้าวปทุมธานีรอบแรกประกันราคา ๑๐,๐๐๐ บาท, รอบสองประกันราคา ๑๑,๕๐๐ บาท ข้าวเจ้ารอบแรกประกันราคา ๑๐,๐๐๐ บาท, รอบสองประกันราคา ๑๑,๐๐๐ บาท ข้าวเหนียวกับข้าวหอมมะลิประกันราคาเท่าเดิม ทั้งๆ ที่ราคาเฉลี่ยตกลงเรื่อยๆ ในกรณีข้าวหอมมะลิ และตรงกันข้ามในข้าวเหนียว  ทำไมไม่ปรับราคาในแต่ละรอบเหมือนข้าวปทุมธานี ?? เปิดช่องทุจริตหรือไม่ ลองพิจารณาเรื่องจำนวนผู้ลงทะเบียน, จำนวนเกษตรกร, จำนวนสัญญาที่เพิ่มขึ้นในปีที่ ๒ เทียบกับค่าเฉลี่ยเงินชดเชยที่เพิ่มขึ้น ต่อรายหรือต่อสัญญาดูครับ และอย่าลืมว่า ข้าวเหนียวไม่ได้รับการชดเชยเลยในปีที่ ๒ จากคุณ : POE เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 15:19:05 A:58.9.197.192 X:

ความคิดเห็นที่ 24 #23 เรื่องจำนวนผู้ลงทะเบียน จำนวนเกษตรกร จำนวนสัญญา ที่มีการเพิ่มขึ้นในปีที่สอง มันมีที่มาแบบนี้ครับ ซึ่งชาวนาทำกันอยู่ ในการประกัน มีการกำหนดจำนวนไร่เข้าไว้ ชาวนาที่ทำรายใหญ่ ในรอบแรกเสียสิทธไปเยอะ ข้าวส่วนที่เกินไม่ได้รับประโยชน์ ก็หาวิธีแยกแปลงนา ไปขึ้นทะเบียนให้ใกล้เคียงที่กำหนด ส่วนที่เกินก็ให้ญาติบ้าง ลูกบ้างแยกครอบครัวไปขึ้น ให้ได้ครบจำนวนนาที่ทำอยู่ ทำนาจริงแต่แทนที่เคยขึ้นคนเดียว เลยแบ่งเป็นหลายคน อย่างนี้ก็ไม่น่าเข้าข่ายการทุจริต พอมามีการจำนำทุกเมล็ด ไม่มีการกำหนด จะเห็นจำนวนรายลดลง แต่ในแต่ละสัญญาจำนวนเงินจะเพิ่มขึ้น จากคุณ : รู้ไปหมด เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 16:12:49 A:182.53.110.173 X: