เห็น ด้วยกับบทสัมภาษณ์ นายอุกฤษ มงคลนาวิน ประธานคณะกรรมการอิสระ
ว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่เพื่อน
สื่ออย่าง ไทยโพสต์ นำมาเผยแพร่เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. โดยท่านหยิบยก กฎแห่งกรรม
มาเทียบเคียงกับวิบากกรรมที่เกิดขึ้นกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายสุเทพ
เทือกสุบรรณ แกนนำพรรคประชาธิปัตย์
หลังจาก กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในยุคมี นายธาริต เพ็งดิษฐ์ เป็นผู้นำ
องค์กรแจ้งข้อหาบุคคลทั้งสองว่า ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59, 83, 84 และ 289 อันเนื่องมาจากมีบทบาท
สำคัญใน ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ช่วงมีการชุมนุมทางการ
เมืองของคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 และผู้เสียชีวิตเกิดขึ้น เพราะใครเคยทำอะไรไว้ ก็
ต้องได้รับผลจากการกระทำของตนเอง
แต่มีประเด็นที่ผมเห็นต่างกับประธาน คอ.นธ. คือท่านบอกว่า กระบวนการยุติธรรมของ
ไทย เริ่มจะเข้าสู่สภาพสภาวะปกติแล้ว หลังจากต่างประเทศให้คะแนน ซึ่งรวมทั้งศาล
และอัยการ อยู่อันดับที่ 80 จาก 90 จากประเทศทั่วโลก ดูเหมือนท่านวัดจากคดี ที่เกิด
จากการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 53 เท่านั้น
ที่สำคัญคือ ตราบใดที่คนทำผิดกฎหมายไม่ยอมรับผิด ตามบทลงโทษที่ตนเองก่อไว้ หรือ
ผู้มีคดีความพยายามหาช่องทางแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้ตนเองพ้นโทษ หรือ ใช้อำนาจทาง
การเมือง เข้ามาแทรกแซงกระบวนยุติธรรม หรือองค์กรอิสระ ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ยอมรับ
ไม่ได้แน่ นี่ยังไม่รวมกรณีถุงขนม 2 ล้านบาทนะครับ
ในฐานะที่นายอุกฤษได้รับยกย่องจาก นายใหญ่ ให้เป็นปรมาจารย์ด้านกฎหมาย เวลา
พูดอะไรสมควรพูดให้ครบ อย่าพูดแค่ให้ใครบางคนถูกใจ เดี๋ยวจะกลายเป็นนักกฎหมาย
ที่เลือกปฏิบัติ ต่อไปให้ความเห็นอะไร แล้วสังคมไม่เชื่อถือ
ดังนั้นในเมื่อทั้งนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ไม่ขอรับอานิสงส์จาก กฎหมายนิรโทษกรรม
ย่อมหมายความว่า คดีจะต้องเดินไปจนสุดขั้นตอน ใครผิดว่ากันไปตามผิด ยิ่งช่วงที่ผ่าน
มาคนธรรมดา หรือผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดี มักมองเห็นว่า นักการเมืองหรือผู้มีอำนาจ เป็น
พวกมีอภิสิทธิ์ ทำผิดแล้วไม่ต้องรับโทษ อาศัยอำนาจเงินบารมี ลอบเดินทางหลบหนีไป
ต่างประเทศ
แต่จะว่าไปแล้ว คดีที่เกิดกับแกนนำพรรคฝ่ายค้าน สมัยเป็นรัฐบาล ต้องชื่นชมความสามารถ
ของ นายธาริต แม้ว่า จะมีเสียงวิจารณ์จากหลายฝ่ายทำนองว่า ท่านเปลี่ยนสีหรือรับใช้ผู้มี
อำนาจเพื่อเอาตัวรอด เนื่องจากสามารถหาช่องทางกฎหมาย มาเล่นงานเพื่อนร่วมงานใน
ศอฉ. โดยกรรมการท่านอื่นไม่มีความผิด ยกเว้นนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ
ยิ่งถ้าหากมีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร หรืออดีตนายกฯ และ ผอ.ศอฉ. สั่งการด้วยวาจาว่า
ให้ดำเนินการกับประชาชนโดยวิธีรุนแรง ก็คงหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบไม่พ้น แต่อย่าลืมว่า
การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 มีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายร่วมอยู่ด้วยจริง ๆ
ตามยุทธศาสตร์ที่ นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำ นปช. ประกาศไว้อย่างชัดเจนว่า คน
เสื้อแดงมีแก้ว 3 ประการ ประกอบด้วย 1. พรรคการเมือง 2. มวลชน 3. กองกำลังไม่ทราบฝ่าย
และถึงแม้ นปช. จะมั่นใจว่ามี สีกากีมะเขือเทศ รวมถึง ทหารแตงโม คอยเป็นเครือข่าย
ช่วยให้การสนับสนุนอยู่ ทั้งเปิดเผยและแบบลับ ๆ แต่หน่วยงานด้านความมั่นคงก็ส่ง แดงเทียม
เข้าไปแทรกซึมช่วงการชุมนุมเมื่อปี 53 เรียกว่า มีข้อมูลเกือบทั้งหมดว่า ใครหนุนหลังใครออก
ทุน ใครมีเอี่ยวกับ ชายชุดดำ
เพราะนอกจาก ศอฉ. จะมีฝ่ายยุทธการ ยังมี วอร์รูม ที่คอยติดตามสถานการณ์ โดยมีผู้มีบท
บาทขณะนั้นประกอบด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา, พล.อ. ประยุทธ์
จันทร์โอชา และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หากแต่ละคนยอมพูดความจริง ผมเชื่อว่า งานนี้
คนไทยได้หูตาสว่างแน่ครับ
แต่กว่าจะถึงวันนั้น วันนี้ผมว่าเราต้องช่วยกันขอบคุณ นายธาริต เพราะทำให้เราได้รู้คำตอบว่า
ทำไมอธิบดีดีเอสไอถึงอยู่ยงคงกระพันมาได้จนถึงวันนี้ แถมยังช่วยให้ กระบวนการยุติธรรมของ
ไทย กลับมามีความน่าเชื่อถือตามความเห็นของประธาน คอ.นธ. อีกครั้งหนึ่งครับ.
เขื่อนขันธ์
http://www.dailynews.co.th/article/5/171601
ก็ต้องติดตามดูกันต่อไปว่า "วอร์รูม" ของรัฐบาลอดีตนายกฯอภิสิทธิ์ จะมาให้ปากคำ
กับดีเอสไอ ...ไขความจริงในเรื่องนี้อย่างไร ?
คนชุดดำเป็นใคร กันบ้าง ... แต่ความลับก็คือความลับ ....ถ้าเปิดเผยได้จะเรียกว่า
ความลับหรือ ...
ความจริง เป็นสิ่งไม่ตาย แต่คนพูดอาจตายได้....
มั่นใจเกินร้อย .. คดีนี้ยืดเยื้อแน่นอน ชาติหน้าบ่ายๆ จะจบไหม ?
ระหว่างคดีนี้ กับคดี พธม. แข่งกันไหมใครจะถูกตัดสินก่อนกัน....
การดำเนินคดี ก็แค่ คลายปมขัดแย้ง เท่านั้นเอง ทำให้เสื้อแดง
ได้ใจ...แล้วมันก็ค้างอยู่แค่นั้นแหล่ะ ...อย่าไปฝันถึงการลงโทษเลย