เคยเขียนเรื่อง"ประชามติ"ไว้ในบล๊อค เมื่อปลายปี 2552
ขออนุญาตเอามาลงไว้ในกระทู้นี้ด้วยครับ
//////////////////////////////
สำหรับหลักในรัฐธรรมนูญปัจจุบัน
ได้ให้หลักเกณฑ์ในการทำประชามติไว้ดังนี้ครับ
มาตรา ๑๖๕ ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งย่อมมีสิทธิออกเสียงประชามติ การจัดให้มีการออกเสียงประชามติให้กระทำได้ในเหตุ ดังต่อไปนี้
(๑) ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นว่ากิจการในเรื่องใดอาจกระทบถึงประโยชน์ได้เสีย ของประเทศชาติหรือประชาชน นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีอาจปรึกษาประธาน สภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภาเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีการออกเสียงประชามติได้
(๒) ในกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติให้มีการออกเสียงประชามติ
การออกเสียงประชามติตาม (๑) หรือ (๒) อาจจัดให้เป็นการออกเสียงเพื่อมีข้อยุติ โดยเสียงข้างมากของผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติในปัญหาที่จัดให้มีการออกเสียงประชามติ หรือเป็น การออกเสียงเพื่อให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรีก็ได้ เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ
การออกเสียงประชามติต้องเป็นการให้ออกเสียงเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในกิจการ ตามที่จัดให้มีการออกเสียงประชามติ และการจัดการออกเสียงประชามติในเรื่องที่ขัดหรือแย้งต่อ รัฐธรรมนูญหรือเกี่ยวกับตัวบุคคลหรือคณะบุคคล จะกระทำมิได้
ก่อนการออกเสียงประชามติ รัฐต้องดำเนินการให้ข้อมูลอย่างเพียงพอ และให้บุคคล ฝ่ายที่เห็นชอบและไม่เห็นชอบกับกิจการนั้น มีโอกาสแสดงความคิดเห็นของตนได้อย่างเท่าเทียมกัน
หลักเกณฑ์และวิธีการออกเสียงประชามติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ซึ่งอย่างน้อยต้องกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการออกเสียง ประชามติ ระยะเวลาในการดำเนินการ และจำนวนเสียงประชามติ เพื่อมีข้อยุติ
การออกเสียงประชามติตาม (๑) หรือ (๒) อาจจัดให้เป็นการออกเสียงเพื่อมีข้อยุติ โดยเสียงข้างมากของผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติในปัญหาที่จัดให้มีการออกเสียงประชามติ หรือเป็น การออกเสียงเพื่อให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรีก็ได้ เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ
///////////////////////////////
จากหลักในรัฐธรรมนูญข้างต้น จึงอาจให้ทำประชามติเพื่อให้ได้ผลลัพท์ออกมาในสองลักษณะ
๑.เพื่อมีข้อยุติ โดยเสียงข้างมากของผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติในปัญหาที่จัดให้มีการออกเสียงประชามติ
๒.เพื่อให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรี
แต่ถ้ามีกฏหมายเฉพาะ ว่าให้ออกเสียงลงมติเพื่อผลลัพท์ใดๆตามข้อ ๑ หรือ ข้อ ๒ ก็ต้องเป็นไปตามนั้น
จากหลักการข้างต้น ผมมองว่าปัญหาคือ การทำประชามติไม่ใช่ง่ายๆ ไม่ควรทำพร่ำเพรื่อ
หากจะทำ ต้องทำเพื่อให้ได้ผลลัพท์ คือให้ได้ข้อยุติ ตามข้อ ๑.เท่านั้น ถ้าเสียงส่วนใหญ่ เห็นอย่างไร ก้อต้องว่าตามนั้น
ไม่ควรมีประชามติ เพื่อขอคำปรึกษาตามข้อ ๒ เพราะ คณะรัฐมนตรี มีทีมงาน มีข้าราชการ ที่เก่งในเรื่องนั้นๆคอยให้คำปรึกษาอยู่แล้ว
การให้มีประชามติเพื่อขอคำปรึกษาตามข้อ ๒ จึงไม่ควรทำ เพราะน่าจะเสียเวลา เหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ให้คำปรึกษาไปแล้ว ก้อไม่มีบทบัญญัติบังคับว่าต้องเอาตามประชามติที่ให้คำปรึกษานั้น ไปปฎิบัติ
แต่เอาเถอะ พรบ.ประชามติกำลังทูลเกล้าลงพระปรมาภิไธย ประกาศราชกิจจานุบกษา ก้อใช้บังคับทันที คงเร็วๆนี้แหละได้ใช้กัน
ว่าแต่ว่า จะทันได้ลงประชามติ เรื่องแก้ รธน. ก่อนยุบสภาไหมหนอ
แต่นึกอนาถใจนิดนึง เพราะการแก้ รธน. ตาม รธน.นี้ ไม่ได้กำหนดว่าให้ทำประชามติก่อนเลย แต่พวกเขากลับลากเกมส์ไปงั้นๆ
เล่นแต่เกมส์การเมืองกันอย่างเดียว ไม่รู้เคยนึกถึงประชาชนบ้างไหม
27 พ.ย. 2552 18:52 น.
มาถึงวันนี้แล้ว ดูข่าวเมื่อเช้าแล้ว ต้องถอนใจเล็กๆ
เพราะ รัฐธรรมนูญนี้ ให้แก้ได้ โดยไม่ต้องทำประชามติก่อน ( ดังเช่น สมัย นายอภิสิทธิ ก็แก้รัฐธรรมนูญก่อนยุบสภา ลดจำนวน สส.เขต เพิ่ม สส.บัญชีรายชื่อ เพื่อหวังผลทางการเมือง ก็ไม่เห็นประชาชนได้ประโยชน์อะไร และ ไม่ถามประชาชนซักคำ)
แต่ก็เข้าใจว่า บ้านเมืองนี้มีกลุ่มคนพาล ที่ได้รับประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับ คมช. 2550 (ซึ่งตอนนั้นโฆษณาชวนเชื่อ โดย คนที่อ้างว่าเป็นคนดีทั้งหลาย เช่น นายจรัญ ขอให้รับไปก่อนแก้ทีหลัง แก้ง่ายนะ บลาๆๆ) คอยขัดขวางทุกวิถีทาง
ดังนั้น ถ้ารัฐบาล เห็นว่า ถ้าทำประชาชามติ แล้วพวกคนพาลเหล่านั้น จะยอมรับ ก็ทำไปเถิดครับ (ซึ่งผมมองว่า พวกคนพาลก็คือคนพาล ต้องหาทางขัดขวางต่างๆนานาจนได้)
ผมรอได้ครับ ...
|