เพิ่งไปออกรายการกับ อ.วรเจตน์ในวันรัฐธรรมนูญ
ประเด็นที่น่าสนใจคือ อ.วรเจตน์ตอกแถลงการณ์สยามประชาภิวัตน์ ที่อ้างต้นแบบเยอรมัน ว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจควบคุมการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (บรรเจิด-วรเจตน์ ก็เรียนเยอรมันมาเหมือนกัน)
อ.วรเจตน์ชี้ว่า รัฐธรรมนูญเยอรมันซึ่งยกร่างขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีข้อตกลงอันเป็นนิรันดร์ ห้ามแก้ 2 ประเด็นคือ 1.เยอรมันต้องปกครองด้วยระบอบสาธารณรัฐเท่านั้น ห้ามกลับไปมีกษัตริย์ 2.ห้ามละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (เพราะเจ็บปวดจากนาซี) ฉะนั้นเมื่อมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบก่อน
แต่นั่นหมายถึงมีการยกร่างแก้ไขแล้ว ไม่ใช่ศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจในทางที่ผิด เข้ามายับยั้งตั้งแต่ต้น และผู้ที่ร้องให้ตีความได้ก็ไม่ใช่ยะใส พรรคกรีน สยามสามัคคี ฯลฯ ใครก็ได้มั่วไปหมด เขากำหนดผู้ร้องไว้โดยเฉพาะ
ยิ่งกว่านี้ รัฐธรรมนูญไทยก็ไม่ได้มีข้อตกลงใดๆ นอกจากรับกันว่าเราจะต้องปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ได้ตกลงว่าจะต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบก่อน จึงเป็นอำนาจหน้าที่ขององค์กรทางการเมืองและประชาชน ผู้ลงประชามติ
ซึ่งอันที่จริง การปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็อยู่การเขียนว่าประเทศไทยเป็นราชอาณาจักร มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เท่านั้นเอง ส่วนอื่นๆ แก้ได้หมด แต่พวกที่ตะแบงต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญกำลังจะบอกว่า รัฐธรรมนูญ 2550 นี่แหละคือระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐธรรมนูญ 2550 เป็นนิรันดร์ แก้ไขไม่ได้เลย
อ.วรเจตน์ยังเล่าเกร็ดประวัติศาสตร์ให้ฟังด้วยว่า ที่อ้างว่าฮิตเล่อร์ชนะเลือกตั้งมาจากเสียงข้างมากนั้นไม่จริง เพราะฮิตเล่อร์ไม่ได้ชนะเกินครึ่ง ต้องตั้งรัฐบาลผสม แต่ฮิตเล่อร์ใช้การปลุกระดมสร้างกระแสชาตินิยม ผู้นำนิยม จนรวบอำนาจได้เบ็ดเสร็จ โดยศาลเองก็มีส่วนสนับสนุนให้ฮิตเล่อร์เผด็จอำนาจจากคำตัดสินหลายๆ คดี เช่นคดีที่ทำให้รัฐบาลกลางเข้าไปรวบอำนาจในรัฐปรัสเซีย
การปลุกกระแสคลั่งชาติ ยังเข้าไปฝังในทัศนคติของศาล เช่นคดีหนึ่ง เจ้าของบ้านชาวเยอรมันบอกเลิกให้เช่าบ้านกับชาวยิว ทั้งที่ไม่ได้ทำผิดสัญญาเช่า ไม่ได้รบกวนผู้ให้เช่า แต่ศาลเยอรมันตัดสินให้เจ้าของบ้านชนะ บอกว่าผู้ให้เช่ารบกวนเจ้าของบ้าน เพราะคุณเป็นยิว!
แบบเดียวกับคำตัดสินเพราะคุณเป็นแดง เป็นพวกทักษิณ เปี๊ยบเลย
ที่มา - เพจ ใบตองแห้ง ประชาไท