บทอาเศียรวาทของหนังสือพิมพ์มติชน ก่อให้เกิดกระแสโจมตีทั่วสารทิศ
เพราะเนื้อหาคำกลอนมีลักษณะส่อเสียดเข้าข่ายหมิ่นเหม่พระบรมเดชานุภาพอย่างจงใจ
แม้หนังสือพิมพ์มติชน จะออกแถลงการณ์อธิบายถึงบทอาเศียรวาท แต่ก็ไม่
สามารถลบล้างความคลางแคลงใจในบทกวีครั้งนี้ได้
บทกลอนสรรเสริญพระบารมี ไม่ควรจะมีตัวอักษรใดที่นำไปสู่การตีความสอง
แง่สองง่าม แต่หนังสือพิมพ์ค่ายนี้แสดงตัวชัดมาก่อนหน้าแล้วว่า ฝักใฝ่ระบอบ
ทักษิณ ปกป้องรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเป็นกระบอกเสียงของคนเสื้อแดง
บทอาเศียรวาทจึงเป็นการตอกย้ำว่า เครือมติชนได้เปลี่ยนตัวเองแล้ว จากที่
เคยประกาศเป็นหมาเฝ้าบ้าน แปลงตัวเป็นเหมือนสุนัขรับใช้ ทำหน้าที่เห่าหอน
แทนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
และเหิมเกริมถึงขั้นแต่งบทกวี ส่อเสียดสถาบันพระมหากษัตริย์
มติชน เป็นผลพวงของหนังสือพิมพ์ ประชาชาติ รายวันในอดีต ซึ่งถือเป็น
หนังสือพิมพ์ที่มีคุณภาพมากที่สุด เป็นหนังสือพิมพ์ของปัญญาชนคนรุ่นใหม่
และเป็นหนังสือพิมพ์สัญลักษณ์การต่อสู้ของนักอุดมการณ์
ประชาชาติ รายวัน เคยเป็นศูนย์รวมของนักคิดนักเขียน เป็นศูนย์รวมของนักข่าว
รุ่นใหม่ไฟแรง และถือเป็นอีกต้นแบบของหนังสือพิมพ์ที่ไม่ยอมก้มหัวให้อำนาจรัฐ
แต่เหตุการณ์วันที่ 6 ตุลาคม 2519 ทำให้ ประชาชาติ รายวันถูกสั่งปิด และคน
ที่ออกคำสั่งปิดคือ นายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงมหาดไทยหลังการปฏิวัติของ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่
ค่าย ประชาชาติ รายวันต้องแตกเป็นเสี่ยง ไม่รู้ชะตากรรม เพราะนอกจากถูก
อำนาจรัฐหมายหัว จนกองบรรณาธิการหลายคนต้องหนีเข้าป่าไปร่วมกับพรรค
คอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยหลายคนแล้ว ยังต้องตกงานกันเป็นแพ
คน ประชาชาติ ในช่วงนั้น เป็นเดือดเป็นแค้นนายสมัคร และไม่มีใครคิดจะร่วม
เผาผีกับนักการเมืองคนนี้ ซึ่งสุดท้าย ต้องยอมก้มหัวให้ระบอบทักษิณ เพราะอยาก
เป็นนายกรัฐมนตรี
ใครจะคิดว่า ผู้ร่วมก่อตั้งหนังสือพิมพ์ ประชาชาติ รายวัน เมื่อประมาณ 37 ปีก่อน
ผู้บุกเบิกหนังสือพิมพ์ที่ไม่หวั่นเกรงอำนาจอันไม่ชอบธรรมของรัฐ จะกลายเป็นสื่อ
ที่รับใช้อำนาจรัฐอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู และกลายเป็นแนวร่วมกับนายสมัคร ยอมก้ม
หัวให้ระบอบทักษิณ
หลังยุค 6 ตุลาฯ หนังสือพิมพ์คุณภาพถูกกำจัด ถูกสั่งปิดกันเหี้ยน แม้จะเปิดกัน
ใหม่ในภายหลัง แต่ทีมงาน จุดยืนหรือแนวทางก็เปลี่ยนไป ทำให้ไม่ได้รับความนิยม
สุดท้ายก็ต้องล้มหายตายจากแผงหนังสือ
มติชน ซึ่งก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาใหม่ในปี 2520 กลายเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับเดียว
ที่พอจะมีคุณภาพ แต่ก็ใช้เวลาหลายปีจึงจะยืดหยัดขึ้นมา และเป็นสื่อค่ายใหญ่
มีสิ่งพิมพ์ในเครือมากมาย ไม่ว่า มติชน สุดสัปดาห์ ประชาชาติธุรกิจ หรือ
หนังสือพิมพ์ข่าวสด
เครือ มติชน เกือบตกไปอยู่ภายใต้กำมือของนายทุนเมื่อหลายปีก่อน โดย
นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรมหรือ อากู๋ นักธุรกิจที่มีความสนิทชิดเชื้อกับระบอบทักษิณ
จะเข้ามาครอบงำกิจการหรือเทคโอเวอร์จนคนในค่ายมติชนต้องร้องขอเพื่อน
สื่อมวลชนร่วมต่อต้าน
และสื่อแทบทุกค่ายก็ผนึกกำลังต่อต้านการเทกโอเวอร์ของ อากู๋ เพราะเสียดาย
ความเป็น มติชน ไม่อยากให้หนังสือพิมพ์ที่พอจะมีคุณภาพตกไปเป็นเครื่องมือ
ทางการเมือง
ไม่อยากให้เพื่อนนักหนังสือพิมพ์ต้องถูกบงการโดยนายทุนที่ใกล้ชิดระบอบทักษิณ
การลุกฮือต่อต้านการครอบงำ มติชน ของสื่อ ทำให้ อากู๋ ต้องประกาศล่าถอย
ล้มเลิกแผนการเทกโอเวอร์
เรื่องราวระหว่าง อากู๋ กับ มติชน เงียบไปหลายปี แต่ก็มีข่าวลือเป็นระยะว่า
นายขรรค์ชัยได้ยินยอมขายหุ้นให้ อากู๋ เปิดทางให้เทกโอเวอร์ค่าย มติชน
อย่างเงียบๆ
และไม่เคยมีใครได้ยินเสียงคร่ำครวญของคนในค่ายมติชน ร้องขอให้เพื่อนสื่อมวลชน
ช่วยต่อต้านการเทกโอเวอร์อีกเลย
กระทั่งล่าสุด ปรากฏว่า บริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน) ของอากู๋
เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ มติชน ในลำดับที่ 2 รองจากนายขรรค์ชัย บุนปาน
โดยถือหุ้นในสัดส่วน 22% ของทุนจดทะเบียน
ตั้งแต่ยุครัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ค่ายมติชนก็เปลี่ยนไป โดยในช่วงแรกเพียงแค่ทำ
ตัวเป็น อีแอบ แอบชมแอบสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ แอบทำหน้าที่เป็นองครักษ์
พิทักษ์ระบอบทักษิณ
คอลัมนิสต์หลายคน กองบรรณธิการบางส่วนแสดงจุดยืนฝักใฝ่ระบอบทักษิณ
จนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงแรกๆ ค่าย มติชน ไม่ยอมรับใน
อุมการณ์ที่เปลี่ยนไป ไม่ยอมรับว่าเป็นกระบอกเสียงให้ระบอบทักษิณ
แต่ปัจจุบันไม่ปฏิเสธแล้ว และถึงปฏิเสธก็ไม่มีใครเชื่อ
เพราะแทบทุกหัวหนังสือในเครือ มติชน แสดงจุดยืนเป็นกระบอกเสียงให้รัฐบาล
นางสาวยิ่งลักษณ์อย่างสุดตัว กลายเป็นหนังสือพิมพ์ที่หมอบราบคาบให้อำนาจรัฐ
เชิดชูระบอบทักษิณ และเป็นสัญลักษณ์ของสื่อเสื้อแดง
ใครจะไปเชื่อว่า หนังสือพิมพ์ที่ประกาศตัวเป็นสื่อคุณภาพ คนหนังสือพิมพ์ที่เคย
ต่อสู้กับอำนาจรัฐมาค่อนชีวิต และกองบก.เครือ มติขน ทั้งหมดจะหัวหดกับ
ระบอบทักษิณ
ยอมเปลี่ยนตัวเองจากคำประกาศเป็นหมาเฝ้าบ้าน ยอมรับฐานะการเป็นสุนัขรับใช้
ของระบอบทักษิณในสายตาของประชาชนได้
ใครจะคิดว่า หนังสือพิมพ์เคยสร้างประวัติศาสตร์การเป็นต้นแบบของหนังสือพิมพ์
คุณภาพที่สุดของประเทศ จะทำให้ตัวเองตกต่ำกลายเป็นหนังสือพิมพ์ห่วยๆ ที่ยอม
ก้มหัวให้นักการเมืองเน่าๆ ได้ถึงเพียงนี้
ใครที่ยังหยิบ มติชน มาอ่าน จะเห็นโฆษณาที่เป็นตัวสร้างรายได้หลักของ
หนังสือพิมพ์ค่ายนี้ ส่วนใหญ่เป็นโฆษณาของหน่วยงานราชการ
และส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานที่ไม่มีความจำเป็นต้องโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้เปลือง
งบประมาณ ซึ่งหน่วยงานราชการเหล่านี้ก็ไม่ลงโฆษณาที่ไหน
แต่กลับแห่กันลงโฆษณาใน มติชน
ถ้าโฆษณาหน่วยงานราชการที่ มติชน ได้มา เป็นการเกื้อกูลตอบแทน
ผลประโยชน์กัน มติชน ก็เป็นหนังสือพิมพ์ที่ร่วมมือกับนักการเมืองปล้น
เงินภาษีของประชาชน
บทอาเศียรวาทที่หมิ่นเหม่พระบรมเดชานุภาพ เสียงแก้ตัวของ มติชน
ไม่ใช่เสียงจากหมาเฝ้าบ้านแล้ว แต่ฟังเหมือนเสียงสุนัขรับใช้ระบอบทักษิณมากกว่า
ประวัติศาสตร์ 37 ปีของค่าย มติชน วันนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า คนหนังสือพิมพ์
ค่ายนี้ ท้ายที่สุดแล้วเป็นเพียงพวกเอาตัวรอด
นักหนังสือพิมพ์ที่มีจิตวิญญาณย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า ถ้าทุกคนมุ่งแต่เอาตัวรอด
สังคมจะไปไม่รอด คน มติชน ไม่ถามตัวเองบ้างหรือ จิตวิญญาณความเป็น
หนังสือพิมพ์ยังเหลืออยู่หรือไม่
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000150799
วันนี้ "มติชน" เป็นสื่อที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ มียอดขายที่น่าพอใจ
แสดงว่า จะเป็นสื่อสีไหน ก็ตามหากว่าปชช.ซื้อหามาอ่าน ก็แสดงว่า
ปชช.พอใจ ...รัฐจะเอาโฆษณามาลง ก็ต้องดูว่า สื่อนั้นยอดจำหน่าย
อยู่ในระดับไหน สามารถกระจายข่าวสารที่ต้องการสื่อ ถึงผู้อ่านได้
มากน้อยแค่ไหน .....
ผู้จัดการ ...มียอดขายเทียบกับ "มติชน" ได้ไหม สื่อก็เป็นการทำธุรกิจ
อย่างหนึ่ง ความสำเร็จก็วัดจากยอดขาย ความนิยมของคนอ่าน