ความคิดเห็นที่ 1 ไปอ่านกฎของรถคันแรกใหม่นะครับ "ต้องเป็นรถที่ผลิตในประเทศ"<<< แล้วรถนำเข้าเกี่ยวเห้...อะไร เสร็จแล้วไปศึกษาภาษีสำหรับรถที่ผลิตในประเทศด้วยครับ แยกย่อยตามประเภทนะ พวกรถใช้ E20 ได้ รถ ECO CAR ศึกษาความรู้ใส่สมองให้เยอะก่อน แล้วค่อยนำมาแตกประเด็น เด๋วเค้าจะหาว่าโง่ -------------------------------------------------------------------------------------- "สลิ่มเยอะแยะในประเทศนี้ ไม่ชอบเพื่อไทย ก็เห็นไปออกรถคันแรกกัน"... จากคุณ : JejieO เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 01:48:03 A:27.145.242.8 X:

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่ได้เข้าข้างใครนะครับ ไม่ว่า รบ ไหน บางทีที่มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา บางนโยบายอาจไม่ได้เป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรง แต่อยากให้มองละเอียดกันหน่อย 1. รัฐ เก็บภาษีมาใช้ ไม่ได้มาหากำไร ... สิ่งที่พึงทำคือสร้าง/ส่งเสริมระบบเศณษฐกิจของประเทศ (ถ้าเป็นการบริหารบริษัทก็คือ บริหาร cash flow) ซึ่งจะทำให้ระบบเศรษฐกิจของเราอยู่ได้ 2. ไม่ว่านโยบายไหน ขออ้างโฆษณาเก่าตัวหนึ่งที่ร้องว่า "เงินกำลังจะหมุนไป ๆ " มันเป็นประมาณนั้นจริง ๆ ครับ ลองนึกให้กว้าง (ลดอคติด้วย) อุตสาหกรรม 1 อย่างมีผลต่าเนื่องไปยังอีกหลาย ๆ อุตสาหกรรม อย่างกรณีนี้ รถยนต์ มันได้เกิดแล้วจบในโรงงานเดียว อุปกรณ์ต่าง ๆ มีมากมาย จากหลายโรงงาน ... แต่ละโรงงานก็ได้มีการจ้างงานตั้งแต่ระดับล่างยันระดับบน ... พนักงานมีงาน ก็มีกินมีใช้ ... ฯลฯ เงินมันก็หมุนวนกันไปมาในระบบ ระบบที่อันตรายกว่าคือระบบเงินฟืด = ทุกฝ่ายพยายามลดการจ่ายเงิน = ระบบแบบนี้คนมีเงินก็ยังอยู่ได้ แต่คนไม่มีเงิน หรือ ต้องตกงาน จะลำบากมาก เพราะไม่มีการจ้างงาย ไม่มีระบบมาเอื้อให้เกิดการจ้างงาน = คนไม่มีอะไรกิน 1 มื้อก็หิว 3 วันก็ตาย นะครับ จากคุณ : x-schneider เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 03:03:10 A:171.100.208.77 X:

ความคิดเห็นที่ 3 เรื่องยอดขายน่ะ รัฐบาลทำทะลุเป้าไปเรียบร้อย เก้าแสนคันได้ มูลค่าหลายแสนล้านบาท สิ่งที่ต้องห่วง ไม่ใช่เรื่องภาษี แต่เป็นเรื่องบริษัทผู้ผลิตรถยนต์นั้นกำไร แล้วเอากลับประเทศเขาหรือเปล่า หรือเอามาลงทุนต่อ ถ้าจะให้เปอร์เฟก ต้องมีรถยนต์สัญชาติไทยออกมาให้ได้ นั้นแหละสุดยอด เงินทองไม่รั่วไหล จากคุณ : Devil_electric เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 06:29:34 A:58.64.111.89 X:

ความคิดเห็นที่ 4 เก้าแสนคัน ภาษีป้าย พรบ ภาษีน้ำมัน ตลอด การใช้งานของรถ ภาษีจากธุรกิจ ของผู้ประกอบการ ที่ได้กำไร ภาษี จากธุรกิจประกันภัย ภาษีแวต จากการใช้จ่าย ของพนักงาน สรุป คุ้มครับ รัฐบาลไม่ได้เอาทุ่มเอาเงินงบประมาณมาจ่าย นะครับ แค่ยอมตัดรายรับ จากภาษี สรรพสามิต  ไปก่อน ส่วนนึง คนที่บอก รัฐเสีย งบประมาณ มากมายไม่จริงครับ นโยบายนี้ก็เหมือนโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย ให้ผู้ประกอบการ ที่เกี่ยวกับรถทั้งหมด จากคุณ : ndjroom เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 07:06:28 A:115.67.1.213 X:

ความคิดเห็นที่ 5 มีบางคนพูดว่า รถจะเต็มถนน รถจะติดเพราะโครงการนี้ แต่ตัวเองมีรถใช้อยู่แล้ว มาบอกเหมือนไม่อยากให้คนอื่นซื้อรถออกมา เดี๋ยวเต็มถนน คนอื่นเขาไม่มีสิทธจะซื้อหรอ ตัวเองใซ้ถนนได้คนเดียวหรือ รถไม่ใช่จะใช้แต่ในเมืองนะ เขานำไปใช้ที่อื่นก็มีครับ อย่าปิดกั้นคนอื่นเลย เขามีปัญญาซื้อให้เขาซื้อเถอะ จะผ่อนจะอะไรเรื่องของเขาสิทธิของเขา เงินก็จะได้หมุนเวียนครับ จากคุณ : พ่อพูห์ (พ่อพูห์) เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 07:21:31 A:58.9.190.41 X:

ความคิดเห็นที่ 6 ต่อไป  สินค้าจะแพงขึ้้น   ราคาน้ำมันจะแพงขึ้นเพราะรัฐฐอุดหนุดไม่ไหว   สินค้าบริโภคภายในประเทศจะแพงขึ้้น  เพราะค่าขนส่่งขึ้นราคา คนที่ได้รับผผลกระทบ  อออาจเป็นขอทาน  คคนกวาดถนน   ชาวบ้้านทั่่วไป จากคุณ : เก่ง-ชุมแสง เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 07:27:03 A:182.93.176.193 X:

ความคิดเห็นที่ 7 คคห6 น่าจะบอกว่าทั่วโลกนะ. จากคุณ : อยากเล่นคลื่น เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 07:42:56 A:58.11.61.4 X:

ความคิดเห็นที่ 8 รัฐมีแต่ได้กับได้ที่คืนภาษีก้เงินคนซื้อเก็บภาษีไปสามแสนคืนหนึ่งแสน แปดแสนคันคิดเอาครับว่ารัฐได้เงินภาษีเท่าไรเหมือนรัฐยืมไปใช้ก่อนแล้วครบหนึ่งปีแล้วคืนให้ ถ้าไม่มีคนซื้อรถรัฐก้ไม่ได้ภาษี ไม่ใช่ได้ภาษีสรรพสามิตอย่างเดียว ภาษี VAT 7% ด้วย ไม่ใช่ว่าทุกคนจะซื้อได้ง่ายๆต้องผ่านการตรวจสอบจากไฟแนนซ์ก่อน ถ้าบอกว่าพอทุกคนได้ภาษีคืนแล้วจะปล่อยให้รถโดนยึด นั้นเป็นความคิดของคนโง่ๆ ตัวอย่างผมจ่ายค่าดาวไปสองแสนผ่อนเดือนละหนึ่งหมืนบาทรวมเป็นเงิน สามแสนสองยังไม่รวมค่าน้ำมันกับค่าบำรุงรักษาที่เสียไป ครบหนึ่งปีได้เงินคืนไม่ถึงแสนบาท แต่เสียไปสามแสนกว่าคุณคิดอย่างไร ผ่อนรถจ่ายค่างวดช้าโดนโทรตามทุกวันคุณเอาไหม จากคุณ : namkem เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 07:43:27 A:49.48.29.44 X:

ความคิดเห็นที่ 9 ปกติปีนึงขายได้กี่คัน ปีนี้ 9 แสนคัน ก็เพิ่มขึ้นไปเท่านั้น ปัญหาคือปีหน้า สมมติว่า ขายให้คนไทยได้เท่าเดิม ก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าขายได้น้อยกว่าเดิม แต่ผลิตเท่าเดิม ที่เหลือส่งออกมากขึ้น อันนี้ดีแน่ ๆ แต่ถ้าขายคนไทยน้อยลง ส่งออกเท่าเดิม ก็ไม่รู้ว่าจะผลิตเท่าเดิมหรือป่าว ก็คงต้องรอดูยอดปีหน้าแหละครับ ไม่เป็นไร รออีกปีก็รู้ จากคุณ : Lpg_Horse เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 07:45:49 A:110.171.132.154 X:

ความคิดเห็นที่ 10 คห.4  คือคำตอบมี่ถูกต้องที่สุด  แค่ภาษีที่จะจ่ายให้รัฐก็ไม่ต้องจ่าย  เป็นการกระตุ้นการซื้อขาย   เหมือนการเล่นหุ้น  ที่ไม่ต้องจ่ายภาษี  แต่รัฐจะได้อย่างอื่น  แทน  ซึ่งก็เป็นรายได้ของรัฐเหมือนเดิม บางคนบอกรถ จะล้นประเทศ  ผมว่าไม่มีใครขับรถ ออกจากบ้านทีละ  2  คันแน่นอน รถเก่าก็จอดไว้  รถใหม่ก็ขับไป  งั้นรถใหม่จอดไว รถเก่าขับไป  ก็แค่นั้น  คนที่ซื้อใหม่จริงๆ  น้อย เชื่อเหอะ จากคุณ : คนเวียงจันทร์ เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 07:53:23 A:101.51.75.160 X:

ความคิดเห็นที่ 11 กรณีที่ไม่เกิดการซื้อขาย  ก็ไม่เกิดภาษีอยู่แล้ว  ผมว่ารัฐบาลฉลาดมากที่คิดและทำเรื่องนี้ครับ จากคุณ : คนเวียงจันทร์ เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 07:55:12 A:101.51.75.160 X:

ความคิดเห็นที่ 12 เปรียบเทียบกับการ ให้ยศร้อยตรี  กับ  นายดาบ  เป็นการลงทุนที่น้อยมาก  แต่ ด้านจิตใจ  เต็มร้อย จากผู้หมวดใหม่ จากคุณ : คนเวียงจันทร์ เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 07:57:15 A:101.51.75.160 X:

ความคิดเห็นที่ 13 รถประกอบในประเทศ ก่อนจะเป็นรถใช้อุปกรณ์ต่างๆ จากโรงงานเยอะมาก ธุรกิจที่เป็น supply chain เติบโต รัฐเก็บภาษีขึ้นได้อีกมากมาย market cap ประเทศโตขึ้นมากมาย สุดยอดความคิดครับ ปัญหารถติด ก็กำลังสร้างรถไฟฟ้า รถไฟฟ้าความเร็วสูง มีทางออกเยอะแยะครับ แมลงสาบก็คือแมลงสาบ ใช้หนวดหาความผิดคนอื่น ไม่มีสมองหรอกครับ จากคุณ : ไทยด่าน เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 08:10:11 A:58.11.42.81 X:

ความคิดเห็นที่ 14 หมุนเงิน เงินหมุนครับ...รัฐเค้าใช้วิธีกระตุ้นเศรษฐกิจภายในเงินที่จ่ายค่ารถคันแรกรัฐจะ เก็บคืนเป็นภาษี vat จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์รวมไปถึงการท่องเที่ยวที่ประชาชน จะจับจ่ายใช้สอยอีกมาก... จากคุณ : กาลัง กัตวา เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 08:45:19 A:171.4.4.185 X:

ความคิดเห็นที่ 15 ขอวิจารณ์จากมุมมองด้านวิชาเศรษฐศาสตร์ (Economic) ================================ รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศโดยอาศัยเครื่องมือการคลัง ที่เรียกว่า นโยบายการคลัง (Fiscal policy) ในขณะที่แบงค์ชาติจะดูแลด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศเช่นควบคุมภาวะเงินเฟ้อ โดยใช้เครื่องมือทางการเงิน เรียกว่า นโยบายการเงิน (Monetary policy) การกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโตนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาลทุกประเทศต้องดำเนินการ โดยการนำเงินภาษีอากรที่จัดเก็บได้วนกลับเข้ามาสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งก็คืองบลงทุนในแต่ละปี  ซึ่งรัฐบาลต้องเร่งรัดให้กระทรวงต่างๆเบิกใช้เงินงบประเทศอย่างเต็มที่ เพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ของประเทศ และที่สำคัญคือต้องกระจายการใช้จ่ายอย่างเหมาะสมให้ครอบคลุมทั้งประเทศ ไม่กระจุกตัวในจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง ประเด็นของนโยบายรถคันแรกนี้ ก็เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบหนึ่ง ที่ผมก็ไม่เคยพบว่ามีประเทศใดในโลกนี้ดำเนินนโยบายการคลังในทำนองนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า นโยบายรถคันแรกนี้ไม่ดี การวิจารณ์จึงต้องพิจารณาว่า ใครได้ประโยชน์ คนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์หรือไม่? 1. นโยบายนี้คนที่ได้ประโยชน์คือคนกลุ่มผู้มีรายได้ระดับกลาง เท่านั้น คนจนที่รายได้ไม่เพียงพอกับการดำรงชีพย่อมไม่ได้ประโยชน์ใดๆ เลย เพราะคงไม่มีเงินไปจองซื้อรถยนต์กับเขา 2. นโยบายนี้เปิดกว้าง ไม่จำกัดจังหวัด แต่มีแนวโน้มว่า รถคันแรกส่วนใหญ่จะมีการจดทะเบียนในเขตจังหวัดกรุงเทพและปริมณฑล การจดทะเบียนในต่างจังหวัดก็มีครับ แต่คงน้อยกว่า 3. เป็นภาระกับเจ้าหน้าที่รัฐในการติดตามควบคุมผู้ใช้สิทธิรถคันแรกต่อไปอีก 5 ปี เนื่องจากเงื่อนไขที่กำหนดไว้ และจะต้องมีปัญหาการไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข ซึ่งต้องคืนเงินภาษีด้วย ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ปฏิบัติและติดตามได้ยาก จากเหตุผลข้างต้น จึงอาจกล่าวได้ว่า นโยบายรถคันแรกนี้ เป็นการใช้เงินงบประมาณที่กระจุกตัว คนยากจนไม่ได้รับประโยชน์ ไม่ได้กระจายไปในต่างจังหวัดห่างไกล หรือทุรกันดาล จึงถือได้ว่าเป็นการใช้เงินงบประมาณที่ไม่มีประสิทธิภาพ แล้วถ้าถามว่า ถ้าไม่ทำแบบนี้ แล้วจะให้นำเงินไปทำอะไร? ผมก็ตอบได้เลยครับ ว่า มีอีกหลายๆเรื่องที่รัฐบาลสามารถทำได้ เช่น 1. การพัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้มีประสิทธิภาพ เช่น รถไฟ เหมื่อนในประเทศญี่ปุ่้น เพราะระบบขนส่งมวลชนนี้จะเกิดประโยชน์ต่อคนทุกระดับโดยเฉพาะคนจน และกระจายไปทั้งประเทศ 2. การพัฒนาถนน ไฟฟ้า และนำประปา กระจายออกไปให้ครอบคลุมพื้นที่ห่างไกลความเจริญ 3. การพัฒนาระบบการศึกษา พัฒนาโรงเรียนในชนบท เพิ่มการบรรจุครูอัตราจ้าง จัดหาหนังสือ จัดหาเครื่องแบบนักเรียน จัดหาอุปกรณ์การเรียน จัดหาอาหารกลางวัน ให้กับนักเรียนยากจน เป็นต้น ถ้าจะให้คะแนนโครงการนี้ ผมก็คงต้องให้ แค่ D+ หรือ C เต็มที่ครับ ไม่มากไปกว่านี้ และผมเชื่อว่า นโยบายรถคันแรกนี้คงจะไม่มีการนำกลัมมาอีก จากคุณ : khsuchart เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 09:24:35 A:49.49.82.178 X:

ความคิดเห็นที่ 16 ตอบความคิดเห็นที่หนึ่ง คุณน่าจะเป็นพวกสลิ่ม หรือแมงสาปตัวหนึ่ง.. ที่เต็มไปด้วยอคติ... คุณไปอ่านกระทู้ใหม่..ผมไม่ได้บอกว่ารัฐบาลจะคืนเงินภาษีให้รถนำเข้า.. เพียงแต่จะบอกว่ารัฐบาล นะเก็บภาษีสรรพสามิต มากกว่าเงินภาษีที่คืนให้คนซื้อมาก  555...จึงได้กำไร ไปกินนมแล้วนอนซะ...555 ส่วนความเห็นที่ 15  ขึ้นต้นเป็นลำไม่ไผ่.. แต่เหลาลงไปเป็นบ้องกัญชา... ข้อเสียของนโยบายนี้...ที่ท่านอ้าง... เป็นเรื่องจิบจ้อยมาก... ที่บอกว่าคนจนไม่ได้รับประโยชน์..ก็ไม่จริง .. นโยบายนี้สร้างงานมหาศาล.. และเมื่อรัฐบาลได้เงินมาแล้ว ก็เอาไปช่วยคนจนได้หลากหลายโครงการ. ที่บอกว่าเป็นภาระในการคืนภาษีของเจ้าหน้าที่... มันก็ไม่ใช่ประเด็น..เพราะ จนท.ก็ต้องทำตามคำสั่งและนโยบายอยู่แล้ว และท่ี่อ้างว่ากระจุกตัวอยู่กรุงเทพฯ   คนต่างจังหวัดไม่ได้ประโยชน์นั้นก็ขี้หกทั้งเพ... บ้านผมอยู่ ตจว.ป้ายแดงเพียบ จากคุณ : terminator2009 เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 09:50:48 A:113.53.105.189 X:

ความคิดเห็นที่ 17 พอกระทู้ว่าคนคิดโครงการนี้เป็นใครไม่รู้... น่าจะให้มาเป็นนายกฯ อีก 20 ปี... สลิ่ม ..แมลงสาปก็ดิ้นกันพล่านไปเลย 555 จากคุณ : terminator2009 เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 09:59:16 A:113.53.105.189 X:

ความคิดเห็นที่ 18 สั้นๆ ถ้านโยบายนี้ดีจริงๆ ขอให้นำมาใช้ตลอดไปนะ จากคุณ : แกงป่าปลาเห็ดโคน เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 10:13:16 A:124.122.55.39 X:

ความคิดเห็นที่ 19 ท่านที่แสดงความเห็นที่ 16 ครับ การที่ผมแสดงความเห็นต่อนโยบายรถคันแรกนี้ ผมก็คิดตามแนววิชาการที่เคยเล่าเรียนมาสมัยที่ผมศึกษาอยู่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เท่านั้น ผมจบสาขา การเงินการคลัง เรียนรู้หลักการ ทฤษฏี และแนวนโยบายการคลังที่จะเกิดประโยชน์กับประเทศสูงสุด เพราะวิชาเศรษฐศาสตร์ สอนให้เรารู้ว่า ทรัพยากรในประเทศนั้นมีจำกัด จึงควรจัดสรรทรัพย์ให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ครับ จริงครับการใช้จ่ายรัฐบาลย่อมก่อให้เกิดการจ้างงาน แต่คำถามคือ ประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับนั้นสูงสุดหรือไม่ เรื่องนี้ไม่ใช้ประเด็นของความรู้สึก ชอบ หรือ ไม่ชอบ แต่ต้องโต้แย้งกันด้วยปัญญา ความรู้ และหลักวิชาการ หรือ ทฤษฏีครับ การโต้แย้ง การตอบโต้ด้วยความรู้สึกนึกคิดของตนเอง การรับฟังข้อมูลข่าวสาร คงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะนำมาโต้แย้งกัน ครับ   ท่านรู้จักคำว่า "Maginal Propency to Consume หรือ MPC" หรือไม่? การใช้จ่ายเงินงบประมาณของรัฐบาลหากเกิดประโยชน์สูงสุด จะต้อง 1. ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นไปตามหลัก Multiplier effect หรือ 1/MPC 2. ทำให้การกระจายรายได้ดีขึ้น หรือ ความแตกต่างระหว่างรายได้คนจน กับรายได้ของคนรวยลดลง วิชาเศรษฐกิจสอนเรื่อง "เศรษฐศาสตร์ความยากจน" สอนให้รู้ว่า อะไรเป็นสาเหตุของปัญหาความยากจน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคนในประเทศไทยมีรายได้เท่ากันทุกคน ถ้าคนในประเทศไทยมีทรัพย์สินหรือที่ดินเท่าๆกัน ประเทศไทยก็จะไม่มีคนจน และก็ไม่มีคนรวย ด้วย ดังนั้นความยากจนคือ ความแตกต่างของรายได้ครับ แล้วการแก้ปัญหาความยากจน ก็คือ การใช้นโยบายการคลัง เพื่อดึงรายได้ที่สูงจนเกินไปของคนรวย (การจัดเก็บภาษีเงินได้) มากระจายหรือแบ่งปันในคนที่มีรายได้น้อย ผ่านทางการใช้จ่ายงบประมาณครับ ดังนั้น ผมขอร้องผู้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์ทุกท่านด้วยครับ ขอให้การวิจารณ์นั้นเป็นการแสดงความเห็นทางวิชาการ มีเกณฑ์อ้างอิงตามหลักทฤษฏีที่ถูกต้อง หากท่านไม่มีความรู้ก็ไม่ควรวิจารณ์ความคิดเห็นของผมครับ การใช้คำพูดที่ไม่สุภาพในกระทู้ ผมถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และไม่ควรกระทำ ท่านต้องทำการบ้าน ศึกษารายละเอียด และหลักวิชาเศรษฐศาสตร์ให้มากกว่านี้ ก่อนที่จะมาตำหนิคนอื่น จากคุณ : khsuchart เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 11:05:58 A:49.49.82.178 X:

ความคิดเห็นที่ 20 ขอแจมแบบภาษาชาวบ้านนะครับ รถคันแรกราคา700000บาท สมุติรัฐฯเก็บภาษีสรรพสามิต50000บาท ราคานี้รวมอยู่ในราคา 700000 บาทแล้ว ใช่ไหม่ครับ ถ้ารัฐฯจ่ายคืนให้เจ้ารถ 50000 บาท ก็เป็นเงินเจ้าของรถคันแรก จะเป็นเงินภาษีประชาชนคนอื่นได้อย่างไรก็เงินเจ้าของรถคันแรกเสียภาษีก่อนแล้ว ผมคิดอย่างนี้ถูกไม่ครับ ผมว่าถ้าจะให้ดีหักเงินให้เจ้าของรถนะที่จ่ายรวดเร็วทันใจ คนที่บอกว่าภาษีประชาชนก็ถูกแต่พูดไม่หมด ต้องพูดว่าภาษีประชาชนเจ้าของรถคันแรกถูกต้องไหมครับ จากคุณ : tadarut08 เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 11:37:02 A:124.122.215.92 X:

ความคิดเห็นที่ 21 ขอพูดข้อเสียละกัน - เสียรายได้จากภาษีสรรพสามิต เกือบแสนล้านบาท - Eco Car ต้องปล่อยไอเสียคาร์บอนไดออกไซด์ 120 g/km รถ 1500 cc ก็มากกว่าหน่อย แถมมีรถกะบะอีก ถัวเฉลี่ย สัก 150 g/km จำนวน 700,000 คัน คันนึงวิ่งสัก 10000 km/year จะมีคาร์บอนไดออกไซด์ให้เราได้ดมกันปีหน้า 1,050,000,000,000 g - จะต้องเตรียมน้ำมัน(นำเข้าราคาตลาดโลก) สมมุติ รถกินเฉลี่ย 15 l/km ปีนึงวิ่ง 10000 km จำนวน 700000 คัน เป็นจำนวน 105,000,000,000 l เป็นเงินเท่าไหร่ก็ไม่รู้ - ถนนหนทางที่ไม่เพียงพอและจะต้องพังเสียหายเร็วกว่าปกติ งบประมาณต้องเสียส่วนนี้เพิ่ม เนื่องจากรถยนต์เป็นสินค้าฟุ้มเฟือย จึงต้องมีการเก็บภาษีสรรพสามิต พอไม่เก็บไปแบบนี้ เม็ดเงินที่จะเอาไว้ดูแลปัญหาข้างต้นก็ต้องไปเบียดบังงบส่วนอื่น เป็นฝุ่นผง และเชื้อโรคที่ซุกอยู่ใต้พรมโดยแท้ จากคุณ : scoreboard เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 11:42:58 A:110.168.165.14 X:

ความคิดเห็นที่ 22 คห 20 โดยปกติภาษีดังกล่าวที่ท่านจ่ายนั้นจะต้องนำไปเยียวยาคนไม่ใช้รถครับ คนเดินดิน ขึ้นรถเมย์ครับ คนที่รายได้น้อยครับ ที่จะต้องรับภาระสูดดมไอเสียจากรถท่าน การที่รัฐบาลไม่เรียกเก็บตรงนี้ก็ผิดวัตถุประสงค์ของภาษีนี้แล้วครับ จากคุณ : scoreboard เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 11:46:15 A:110.168.165.14 X:

ความคิดเห็นที่ 23 หากใช้มุมมองทางด้านเศรษฐศาสตร์ ก็ช่วยวิเคราะห์ทั้ง จุลภาค มหภาค เพราะในด้านนึงเสีย แต่ก็จะมีอีกด้านหนึ่งได้ นโยบายเรื่องรถคันแรก กรณีเกี่ยวกับภาษีสรรพสามิตร ด้วยปริมาณขายรถที่เพิ่ม ภาษีสรรพสามิตรที่ลด+ตัวคูณปริมาณรถที่เพิ่ม น่าจะเท่ากับหรือใกล้เคียงเงินภาษีที่หายไป แต่ภาษีมูลค่าเพิ่มที่รัฐได้เพิ่มขึ้นแน่ๆ การจ้างงาน การเคลื่อนย้ายฐานการผลิต ที่ตามมาจากอีโคคาร์ น่าจะนำมาถกเพิ่ม จากคุณ : พ่อไม้ เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 11:48:54 A:125.24.42.137 X:

ความคิดเห็นที่ 24 คห 15 ครับ ผมไม่ใช่นักเศษรฐศาสตร์มีความรู้มากมาย ไม่ได้ศึกษาวิชานี้ละเอียดแต่ผมขอวิจารณ์ความเห็นของคุณนะครับ เท่าที่อ่านคุณเหมือนจะเกริ่นเนื้อหาตามตำรามามาเยอะ แต่เท่าที่อ่านประเด็นที่คุณวิจารณ์นโยบายรถคันแรกมีดังนี้ 1 นโยบายนี้มีความกระจุกตัวแต่คนระดับกลางเพราะคนจนคงไม่ไปจองรถ 2 คุณคิดว่ารถที่จดทะเบียนใน กทม เยอะกว่า 3 เป็นภาระแก่ผู้ซื้อ ปฎิบัติได้ยาก อ่านจริงๆ สั้นๆ เท่านี้เองครับเขียนมาเยอะแล้วคุณก็สรุปว่าใช้งบประมาณไม่มีประสิทธิภาพ คิดแบบนี้มันเป็นการคิดมิติเดียวครับ ผมว่าหลายคนในนี้เข้าใจคำว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจดีกว่าคุณ 1 คุณจะให้คนระดับล่างกระตุ้นเศรษฐกิจได้แบบรวดเร็วทันใจ คุณมีวิธีไหนบ้างครับถ้าไม่ไช่แจกตัง ส่วนสร้างโรงเรียน สร้างถนน รถไฟฟ้านั่นมันเป็น long term  รัฐต้องทำอยู่แล้ว 2 คุณคิดไปเองครับ ไม่มีสถิติใดๆ เลย คิดเองทั้งหมด รถต่างจังหวัดทะเบียนกรุงเทพเยอะแยะ และผมก็ไม่เห็นปัจจัย นัยยสำคัญที่คนออกต่างจังหวัดมากกว่าแล้วจะดีกว่า 3 เป็นสิ่งที่แก้ไขได้ ไม่เกี่ยวกับนโยบาย สรุป คุณกำลังบอกให้รัฐเอาไปทำอย่างอื่่นด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ไม่ได้ช่วยให้คนออกมาใช้จ่าย ผมว่าคุณเข้าใจผิดอย่างมาก นโยบายนี้เหมือนการล้มโดมิโดเป็นกระตุ้นตนที่มีกำลังซื้ออยู่แล้วตามที่คุณบอกตามข้อ 1 คุณยังไม่ได้รับผลประโยชน์วันนี้ แต่สักวันคุณจะสัมผัสได้เอง จากคุณ : kunmae เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 11:52:59 A:58.9.197.149 X:

ความคิดเห็นที่ 25 คุณอ่าน คห 2 ,4 ก่อน ทุกอย่างจะมาประกอบกัน มีหลายด้านมาอธิบายยังไงก็ไม่หมด ส่วนตัวอยากจะบอกว่า มันก็มีข้อเสียทั้งนั้นแหละไม่ว่าจะนโยบายไหน   คุณลองดูสมัยนี้คนเที่ยวต่างจังหวัดเยอะขึ้น เช่นตอนนี้หัวหินเจริญขึ้นมาก มีแหล่งชอปปิ้ง คอนโด แหล่งท่องเที่ยวเกิดขึ้นมากมาย ผมว่าถ้ารัฐเน้นการลงทุนแบบนี้ไปหลายๆ จังหวัดพร้อมๆ กันจะเป็นผลอย่างมากเพราะคนมีรถกันแล้วต้องเที่ยวด้วย เที่ยวถูกเที่ยวแพงก็เป็นทราฟฟิกกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ถ้าเมืองใหญ่ๆตามภูมิภาคเจริญๆ คนก็ไม่ต้องแห่กันเข้ากรุงเทพ ลดความแออัดไปด้วย จะเห็นได้ว่ากลุ่มเซ็นทรัลเข้าไปลงทุนทุกภาคแล้ว อีกหน่อยก็เกิดการจ้างงานเอง ผมอยากให้คนที่ได้เงินภาษีคืนใช้จ่ายในประเทศครับ ยิ่งบ้านนอกยิ่งดี ขับรถไปเลย คันละ 5 คนคุ้มกว่านั่งรถตู้ ส่วนคนไม่มีตังเติมน้ำมันไปเที่ยว เที่ยวกรุงเทพก็ได้ครับตอนดึก ๆ มานั่งกินกระเพาะปลาเยาวราช ไปตลาดจตุจักรเที่ยงคืน ไปยืนริมแม้น้ำเอเชียทีค ผมสังเกตุตลาดกลางคืนคนเยอะขึ้นมากครับ ผมเชื่อว่าเพราะคนออกรถกันมากขึ้นด้วย ผมอยากให้รออีกหน่อยสำหรับคนที่บอกว่านโยบายนี้เอื้อผลประโยชน์แค่อุตสาหกรรมรถยนต์  ให้ผมเดา กลุ่มท่องเที่ยว ค้าปลีก อาหาร ตามมาก่อน อีกหน่อยคงเป็นพวกแฟชั่น อิเลกทรอนิส์ แบงค์ อสังหา ไล่มาเลย จากคุณ : kunmae เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 12:04:57 A:58.9.197.149 X:

ความคิดเห็นที่ 26 .............ช่วยตอบผมที่ว่ารายการนี้ ... รัฐบาลปูผลาญงบประมาณ..? หรือได้งบประมาณเพิ่มไปพัฒนาประเทศเท่าไหร่ ? ผมว่ารายการนี้ ..รัฐบาลได้มากกว่าเสียมั้ง .. เพราะอย่างเก่งสุด รถราคาห้าแสน ได้ภาษีคืน หนึ่งแสน ก็เพียง ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของราคาขาย ... .ที่ทราบๆ ภาษีรถที่รัฐบาลเก็บอยู่ เป้นสองร้อยเปอร์เซ็นต์ของราคานำเข้า หรือราคาผลิตจากโรงงาน.... ดังนั้นรายการนี้รัฐบาลน่าจะได้ไปเน็ตๆ.... ไม่ต่ำกว่าแสนล้าน... 555 ใครว่ะคิดได้แบบนี้      จขกท. คุณ terminator2009  ช่วยชี้แนะหน่อยเถอะว่า รัฐบาล ได้กำไรเพิ่มขึ้นตรงไหนหว่า ในเมื่อต้องคืนภาษีสรรพสามิต ที่เก็บมาแล้ว คืนกลับไปให้ผู้ซื้อรถ แต่เมื่อ รัฐบาลจะสร้างโรงเรียนสักหลัง ต้องใช้เงินภาษี ที่เก็บจากประชาชน ในเมื่อต้องคืนเงินสว่นหนึ่งแก่ ประชาชนคนหนึ่ง  ก็ต้องเก็บเพิ่มจาก ประชาชนที่เหลือ หรือไม่ก็หา กู้มาใช้ก่อสร้าง  ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากประชาชนเหยื่อบาปที่เหลืออีกนั่นแหละ และ ส่งเสริม การประหยัด ( น้ำมัน อาหรับ ) ตรงไหน มิทราบ ! ! จากคุณ : วอน เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 12:09:29 A:125.27.244.179 X:

ความคิดเห็นที่ 27 คห 15 เขียนเพิ่มเติมไว้ครับ "ผมเชื่อว่า นโยบายรถคันแรกนี้คงจะไม่มีการนำกลัมมาอีก" เหมือนจะบอกว่านโยบายดีต้องนำมาใช้ต่อ คุณพลาดอีกแล้วครับ  เวลาจุดไฟไส่ฟืน จุดครั้งเดียวครับ จะเผาบ้าน เผาป่าก็ติดหมดนะครับ จากคุณ : kunmae เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 12:15:58 A:58.9.197.149 X:

ความคิดเห็นที่ 28 ความคิดเห็นที่ 23 หากใช้มุมมองทางด้านเศรษฐศาสตร์ ก็ช่วยวิเคราะห์ทั้ง จุลภาค มหภาค เพราะในด้านนึงเสีย แต่ก็จะมีอีกด้านหนึ่งได้ นโยบายเรื่องรถคันแรก กรณีเกี่ยวกับภาษีสรรพสามิตร ด้วยปริมาณขายรถที่เพิ่ม ภาษีสรรพสามิตรที่ลด+ตัวคูณปริมาณรถที่เพิ่ม น่าจะเท่ากับหรือใกล้เคียงเงินภาษีที่หายไป แต่ภาษีมูลค่าเพิ่มที่รัฐได้เพิ่มขึ้นแน่ๆ การจ้างงาน การเคลื่อนย้ายฐานการผลิต ที่ตามมาจากอีโคคาร์ น่าจะนำมาถกเพิ่ม ======================= ชื่นชมท่านครับ ถูกต้อง เศรษฐศาสตร์ มีทั้งการวิเคราะห์จุลภาค (Micro Economic) และการวิเคราะห์มหภาค (Macro Economic) และนโยบายต่างที่ที่รัฐนำมาใช้นั้นมีทั้งผลด้านบวกและผลด้านลบ ครับ ข้อท้วงติงของท่าน ผมขออธิบายตามความเห็นดังนี้ 1. นโยบายรถคันแรกนี้ เป็นนโยบายการคลัง จึงต้องวิเคราะห์เชิงมหภาค  การวิเคราะห์ระดับจุลภาค เขาจะใช้เพื่อการวิเคราะ์ห์ความพึงพอใจของผู้บริโภค วิเคราาะห์อัตถประโยชน์ส่วนเพิ่ม (Maginal Utility) ซึ่งเกี่ยวกับราคาสินค้า เกี่ยวกับ อุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) เกี่ยวกับกลไกตลาด ฯลฯ   แต่ในกรณีนี้ ผมคิดว่า ควรใช้การวิเคราะห์เชิงมหภาคน่าจะเหมาะสมกว่า เนื่องจากโจทย์เป็นมุมมองด้านนโยบายการคลัง และผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม สำหรับการวิเคราะห์จุลภาคคงต้องมีข้อมูลมากกว่านี้ 2. นโยบายรถคันแรกนี้ มีเป้าหมายหลัก คือ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อให้คนมีรายได้น้อยได้มีรถยนต์ขนาดเล็กๆ เพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน ประเด็นข้อท้วงติงคือ 2.1 นโยบายนี้ ช่วยคนจนที่มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ให้มีรายได้เพิ่มขึ้นหรือไม่?   คำตอบ คือ คนจนไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ ไม่ว่าจะทางตรง หรือทางอ้อม 2.2 นโยบายนี้ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้ประเทศเจริญเติบโตในอัตราที่ต้องการหรือไม่? คำตอบ คือ นโยบายนี้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจริง ครับ มีผลทำให้เศรษฐกิจของประเทศ มีผลทำให้อุตสาหกรรมขยายตัวได้จริง ครับ แต่ประเด็นที่ต้องโต้แย้งกัน คือ 1) ควรเป็นบทบาทของรัฐบาลหรือที่เข้ามากระตุ้นยอดการขาย การผลิตรถยนต์ของอุตสาหกรรมยานยนต์? รัฐบาลควรให้การสนุนสนุนอุตสหกรรมนี้ เช่น การส่งเสริมการลงทุน ยกเว้นอากรนำเข้าเครื่องจักร และวัตถุดิบ เพื่อลดต้นทุนให้กับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งบริษัทผลิตรถยนต์ในประเทศทุกรายก็ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ทั้งสิ้น ไม่ต้องเสียภาษีจากกำไรเป็นเวลา 8 ปี เงินปันผลก็ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ ฯลฯ 2) นโยบายรถคันแรกนี้ กระตุ้นให้เกิดการบริโภคข้ามเวลา ใช่หรือไม่? (การบริโภคข้ามเวลา คือ การก่อหนี้ การกู้ยืมเงินในอนาคต เพื่อมาบริโภคในปัจจุบัน ) การกระตุ้นในประชาชนมีการบริโภคเพิ่มขึ้นย่อมทำให้เศรษฐกิจเติบโตครับ แต่ในความหมายคือ การนำเงินออมที่เก็บสะสมไว้มาใช้จ่ายเพิ่มขึ้นครับ แต่การกระตุ้นให้ประชาชนบริโภคเพิ่มขี้นด้วยการก่อหนี้ เอารายได้ในอนาคตมาใช้จ่ายในวันนี้นั้น รัฐบาลไม่ควรสนับสนุน ไม่ควรส่งเสริม เพราะจะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจในอนาคต ผมถึงบอกไงครับ ว่า นโยบายนี้ สร้างอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่มีประสิทธิภาพ และผมก็ยืนยันว่า นโยบายนี้ ไม่ควรนำมาใช้อีก จบกันแล้วก็ให้มันจบไป นำเงินไปบริจาคให้คนจนในชนบทได้มีที่อยู่ มีบ้าน มีที่ทำกินในชนบทจะดีกว่า เอาเงินมาช่วยคนชั้นกลางแบบนี้ เสียดายงบประมาณแผ่นดินครับ จากคุณ : khsuchart เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 13:34:26 A:49.49.82.178 X:

ความคิดเห็นที่ 29 ถ้าจะดูต้องดูทั้ง Package ครับ นโยบายนี้อาจจะเอาใจชนชั้นกลาง แต่ก็มีนโยบายอื่นออกมาช่วยคนจน เอาเถอะรัฐบาลทำอะไรก็โดนด่าทั้งนั้น ช่วยคนจนก็โดนด่าเอาเงินคนชั้นกลางไปช่วยคนจน เอาใจคนชั้นกลางก็โดนด่าว่าไม่ยอมช่วยคนจน จริงๆควรจะทำการวิเคราะห์นโยบายทั้งระบบว่ามีการจัดสรรเงินกี่ % ของงบประมาณลงไปส่วนไหนบ้างน่าจะสนุกนะ จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 14:48:49 A:110.171.170.98 X:

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณ ความเห็นที่ 29 ครับ ทำให้กระทู้นี้จบลงได้สวย เราต้องพิจารณานโยบายทั้งหมด เช่น การประกันราคาข้าว เงินทุนหมู่บ้าน ฯลฯ อีกหลายๆ โครงการ  แต่รัฐบาลก็ต้องยอมรับว่า โครงการรถคันแรกนี้ มีจุดอ่อนหลายด้าน ที่ต้องนำไปเป็นบทเรียนในการนำเสนอนโยบายใหม่ๆ ผมเห็นว่า การโต้เถียงเรื่องนี้ น่าจะได้ข้อสรุปเพียงเท่านี้ พอหอมปากหอมคอ และได้ประโยชน์สำหรับผู้ที่เข้ามาอ่านกระทู้  เพราะผมอยากเห็นกระทู้ในห้อง ราชดำเนิน นี้  เป็นกระทู้ที่มีคุณภาพ มีประโยชน์ มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการท้วงติงอย่างสร้างสรรค์ เรียกว่า Cognitive conflict ผมเบื่อกับการโต้แย้งที่ใช้แต่อารมณ์ ไม่สร้างประโยชน์กับคนอ่านเลย เอาแต่ความสะใจ เอาชนะกัน ดูถูกดูแคลนกันไปมา ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นครับ ขอบคุณทุกท่านที่ แสดงความเห็นต่อกระทู้นี้ครับ จากคุณ : khsuchart เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 15:27:25 A:49.49.82.178 X:

ความคิดเห็นที่ 31 การจะดำเนินนโยบายอะไร เราไม่สามารถที่จะกำหนดโดยปัจจัยของเราเองได้ ทั้งหมด นโยบายรถคันแรก ในความคิดผม มองไปที่ตอนเป็นนโยบาย เป็นการหาเสียง หรือเป็นการกระตุ้นการบริโภคซึ่งผมให้น้ำหนักไปทางการกระตุ้นการบริโภคซึ่งอาจจะมีการล็อคสเปกไว้ในนโยบายเพราะรถคันแรก คุณสมบัติจะไปตกอยู่ส่วนใหญ่ที่วัยเริ่มต้นทำงาน เมื่อมองไปที่ โครงการอีโคคาร์ ที่คนในวงการต้องการให้เกิดขึ้นมาคู่ไปกับปิคอัพที่ไทยเราเป็นฐานการผลิตใหญ่ หากมีความต้องการในประเทศที่มากพอจะผลักดันให้บริษัทรถทั้งหลายต้องเข้าร่วมกับเค็กก้อนโตชิ้นนี้ อีกทั้งเราต้องแข่งขันเพื่อให้ได้เปรียบก่อนจะเป็น aec สังเกตุถึงความไม่ชัดเจนของนโยบายตอนแรก การกำนดสเปครถซีซีต่ำ ค่าไอเสีย รถในประเทศ อัตราการคืนเงินภาษี ซึ่งถูกกำหนดกรอบไว้ และจะได้ประโยชน์มากก็คืออีโคคาร์  แต่ได้รับการต้านจากค่ายรถ ที่ยังไม่มีรถรุ่นนี้ และก็ออกมาอย่างที่เห็น การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรัฐบาลไม่มีเงิน ก่อหนี้ก็ยาก เมื่อประสิทธิภาพวัดกันด้วย gdp ทางเลือกก็ไม่มาก แต่ว่าผมก็ไม่เห็นด้วย กับการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยกระตุ้นการบริโภคและทำให้คนเป็นหนี้ ด้วยว่ารัฐต้องดูแลระบบเศรษฐกิจให้ดีต่อเนื่อง ทรุดเมื่อไรคนเป็นหนี้ ตายแน่ๆ จากคุณ : พ่อไม้ เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 21:29:00 A:125.24.42.137 X:

ความคิดเห็นที่ 32 ไม่ได้จะมาออกความเห็นอะไรนะ แต่อยากบอกว่า คำถามแนวนี้ เคยมีคุยกันในห้องอื่นๆ ปรากฎว่าห้องราขดำเนินนี้ กลับคุยกันเอาสาระได้มากกว่าห้องอื่นซะอีก ที่เคยอ่านห้องอื่นจะซัดกันนัวเลยระหว่างคนเชียร์ คนแช่ง แถมมีไปลามปามดูถูกคนพึ่งซื้อซะ จากคุณ : rui เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 00:22:55 A:171.97.36.30 X:

ความคิดเห็นที่ 33 ตอบคุณวอน..ความเห็น 26 ขอบคุณสำหรับความเห็น ตอบว่า ในรถยนต์หนึ่งคัน รัฐได้ภาษีหลายอย่างจ๊ะ.. ตั้งแต่อากรขาเข้าชิ้นส่วนนำเข้า และภาษีมูลค่าเพิ่มสินค้านำเข้า เมื่อนำมาผลิตรถยนต์ก็ต้องเสียอีก คือภาษีสรรพสามิต.. เมื่อขายก็ต้องเสียอีกคือภาษีมูลค่าเพิ่ม... ที่รัฐบาลปูจัดโปรโมชั่น สงเสริมการขาย. .และการผลิตรถยนต์ขนาดเล็ก นั้น ข้อเท็จจริงคือรัฐบาลคืนภาษีสรรพสามิต..ให้บางส่วนเท่านั้น.. ไม่ใช่ทั้งหมด นะจ๊ะ ลองไปดูตารางการคืนภาษี ของสรรพสามิตดู..? สรุปว่า เน็ตๆ รัฐได้ภาษีเพิ่ม จ๊ะ  ...รถคันละห้าแสน  อย่างน้อยๆ.. รัฐได้ภาษีมุลค่าเพิ่ม ห้าหมื่น..ล้านคันก็ห้าหมื่นล้านไปแล้ว.. ไอ้ที่เป็นประโยชน์ทางอ้อมจากนโยบายนี้อีกเพียบ.. ขี้เกียจอธิบายให้เด็กฟังแล้ว จากคุณ : terminator2009 เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 11:16:27 A:113.53.100.89 X:

ความคิดเห็นที่ 34 คห.ที่28ครับ  นโยบายนี่มีผลต่อคนจนครับเพียงแต่คุณไม่พูดออกมาเอง หรือไม่ก็มองไม่ออก  เพราะการผลิตรถยนต์คันนึง ไม่ได้มีแค่โรงงานประกอบรถยนต์โรงเดียว  มีทั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วน ต่างๆที่ส่้งชิ้นส่วนให้กับโรงงานประกอบรถ  ซึ่งมีไม่ต่ำกว่า10โรงงาน และโรงงานเหล่านั้นมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ทั้งโอที และจ้างพนักงานเพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นเท่ากัีบว่าคนจนก้ได้โอกาสในการทำงานเพิ่มขึ้น อีกทั้งคนงานในบริษัทผลิตรถยนต์ ได้โบนัสกันไปเพียบไม่ว่าจะเปนพนักงาน ระดับไหน  ทำไมคุณไม่พูดออกมาละ  ข้อดีก็มีอีกเยอะเพียงแต่คุณมองออกไหมเท่านั้น จากคุณ : kaesa เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 12:01:26 A:27.130.225.142 X:

ความคิดเห็นที่ 35 ผมแถมให้อีกหน่อยครับ  นอกจากนโยบายนี้  รัฐบาลก็มีนโยบายจำนำราคาข้าว ซึ่งทำรายได้ให้กับชาวนาส่วนใหญ่จำนวนมาก และชาวนาบางคนได้น้ำเงินรายได้มาซื้อรถปิคอัพ เพื่อเอาไว้ใช้งาน ตรงนี้ผมถามว่าใครได้ประโยชน์ครับ จากคุณ : kaesa เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 12:04:42 A:27.130.225.142 X:

ความคิดเห็นที่ 36 ประเทศไทยไม่มีทางพังกับคนชั่วหรอก.... เพราะถ้าชั่วจริง..ก็ไม่มีคนเอาด้วยอยู่แล้ว...? มวลชนก็ไม่เอา..ประชาชนก็ไม่เอา..? เลือกตั้งคราใดก็แพ้....?. กฏหมายก็เพียบที่จะควบคุมคนไม่ดี...? แถมด้วยตุลาการศาลที่คอยจับผิด..? แถมมีสื่อมวลชนที่คอยกระซวก......อีก..? แต่จะพังพินาจกับคนที่ไม่ทำอะไรเลย.. .ดูเฉยๆ คอยค้านๆๆๆๆ ..คอยจับผิดคนทำ...ต่างหาก... ประเภทนี้แหละ..ที่จะทำให้บ้านเมืองพินาศ.... ใครรู้ตัวว่าเป็นคนที่มือไม่พายแล้วเอาเท้ารานาก็.... ขอให้หยุดทำพฤติกรรมแบบนี้เสียเถิด.. .อย่าให้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับลูกหลานเลย จากคุณ : terminator2009 เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 12:42:02 A:113.53.100.89 X:

ความคิดเห็นที่ 37 คห 28 เศรษฐศาสตร์ที่เขียนมาเท่าที่อ่านไม่เกี่ยวกับนโยบายนี้เลยนะครับ เรื่องนี้นี้เกี่ยวกับการบริหารทุกอย่างผมไม่เห็นภาพรวมและการเชื่อมโยงเลย เห็นแต่จะเชื่อมโยงตำรา และเรื่อง BOI ไม่เกี่ยวเลยครับ ไม่งั้นคุณต้องไม่เห็นด้วยกัย E20 E85 Eco cars แล้วเพราะอันนั้นเป็นการลดภาษีให็โรงงานโดยตรงซึ่งหนักกว่า ที่บอกคนจนไม่ได้อะไรนี่คุณต้องทบทวนใหม่ทั้งระบบแล้วนะครับ แต่ผมยกตัวอย่างให้ฟัง ตอนนี้ผมมีธูรกิจอยู่ทั้งในกรุงเทพ หัวหิน ถ้ายอดขายดีผมก็จะจ่ายเงินเดือนคล่องขึ้นถูกไหมครับ วัตถุดิบก็ต้องใช้มากขึ้น ผมก็มีเงินมากขึ้นจ้างงานมากขึ้น ลงทุนมากขึ้น ผมถ้ามว่าลูกจ้างผมมีงานทำ ได้ทางอ้อมไหมครับ ที่ผมขายดีอาจจะมาจากการกระตุ้นเศรษฐกิจในกรุงเทพก็ได้ แต่มันลามมาถึงหัวหินเป็นทอดๆ เหมือนที่ผมบอกว่าถ้าจุดไฟ จะเผาป่า จุดครั้งเดียวที่มีฝืน ถ้ามีเชื้อมันจะลามเอง ถ้าคุณจะเน้นเศรษฐศาสตร์ คุณวิเคราะห์ข้อมูลปัจจุบันดีกว่า ลองไปดู GDP, Public debt, Inflation rate, Export, Unemployment rate , Public debt และอีกเยอะครับ ตอนนี้ผมบอกได้เลยประเทศไทยกำลังจะไปตามทฤษฎี 2 สูงของคุณธนินทร์ แต่มีปัญหาหลายอย่างเช่น การพัฒนา skill ของแรงงานและการส่งออก ถ้าการส่งออกเราแข็งแรงแปลว่าเราไมต้องไปแข่งกันทุ่มตลาดแล้ว เหมือนที่เราเคยโดนเรื่องกุ้ง ที่ผมอยากให้รัฐบาลพัฒนามากที่สุดคือเรื่องการขนส่งเพราะ logistic ประเทศไทยต้นทุนสูงมากแล้วไม่มีประสิทธิภาพ อีกอย่างคือการพัฒนาความเจริญไปทุกภาค ถ้าคุณมีข้อมูลจะพบว่ากรุงเทพแออัดเกินไป และจะพบว่าหลายประเทศ มีการกระจายคนไม่ไห้กระจุกตัว เช่นมาเลเซีย เวียดนาม ถ้า logistic ยังไม่เริ่ม คุณต้องเริ่มที่การขนส่งที่สะดวกสุดคือรถยนต์ ผมจึงเห็นด้วยกับนโยบายนี้ถึงแม้ผมจะไม่ได้ใช้สิทธิก็ตามและผมก็ยอมรับกับสถานการณ์รถติดที่เพิ่มขึ้น แต่ที่อยากเห็นต่อไปคือระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพเท่านั้นเอง จากคุณ : kunmae เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 16:21:30 A:171.97.25.96 X:

ความคิดเห็นที่ 38 เมื่อ ในสมอง มีแต่ความคิด เช่นนี้.... .....ประเทศไทยไม่มีทางพังกับคนชั่วหรอก.... เพราะถ้าชั่วจริง..ก็ไม่มีคนเอาด้วยอยู่แล้ว...? มวลชนก็ไม่เอา..ประชาชนก็ไม่เอา..? เลือกตั้งคราใดก็แพ้....?. จึงป่วยการที่จะแสดงความเห็นใด ๆให้ เกิดความคิด ที่ กว้างไกลขึ้นมาได้อีกเลย ทั้งยัง ไม่รู้อีกว่า การพินาศ เกิดจาก การบริหารผิด ๆ  การใช้อำนาจ ผิด   การหลงผิด หาได้เกิดจาก การค้าน หรือการชี้แนะ ที่ ผิด ๆ ไม่ จากคุณ : วอน เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 55 10:30:05 A:125.27.240.2 X: