 |
จุดด้อยของรธน.50 (คัดลอกมาจากห้องสมุดอิเลคโทรนิกส์ สำนักวิชาการ สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร)
1. ที่มาของสภาร่างรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2540 มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมผ่าน รัฐสภา โดยมาจากตัวแทนในแต่ละจังหวัด 76 คน และจากผู้มีความรู้ด้านกฎหมายมหาชน ด้านรัฐศาสตร์ และผู้มีประสบการณ์ในการบริหารราชการแผ่นดินอีก 23 คน รวม 99 คน ในขณะที่สภาร่างรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550 จะมาจากสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ 2,000 คนที่มาจากการแต่งตั้งแล้วเลือกกันเองให้เหลือ 200 คน จากนั้นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) จะเลือกให้เหลือ 100 คน
2. ที่มาของรัฐสภา รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2540 กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งด้วยกันทั้ง 2 สภา ต่างกับร่างรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550 ซึ่งกำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน แต่วุฒิสภามาจากระบบผสม คือ จากการเลือกตั้ง 76 คน และสรรหา 74 คน ทำให้มองเห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550 มีความเป็นประชาธิปไตยในระดับที่ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2540 ซึ่งระบบผสมดังกล่าวเป็นระบบใหม่ ฉะนั้นในวันข้างหน้าจึงยังไม่มีความแน่นอนว่าระบบนี้จะอยู่ต่อเนื่องและยาวนานมากเท่าใด
3. เจตนารมณ์ในการยกร่างรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2540 มี
เจตนารมณ์ที่จะปฏิรูปการเมืองของประเทศไทยให้ดีขึ้น สภาร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้จึงนำหลักวิชาการ หลักกฎหมายมาใช้ในการร่างรัฐธรรมนูญอย่างบริสุทธิ์ใจ ส่วนในร่างรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550 มีเจตนารมณ์ในการยกร่างรัฐธรรมนูญที่แตกต่างไป มุ่งแต่ที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดจากนักการเมืองและรัฐบาลชุดที่ผ่านมาจนลืมหลักวิชาการ หลักกฎหมายจึงทำให้ขาดหลักการและเหตุผลในการอ้างอิงจนอาจทำให้เกิดปัญหาในอนาคตตามมา และที่สำคัญคือไม่ไว้วางใจในตัวแทนที่ประชาชนเลือกเข้ามาจึงพยายามกีดกัน ให้ออกไป แต่ดึงฝ่ายตุลาการเข้ามาแทน
4. วุฒิสภาที่มาจากการสรรหาของคณะกรรมการสรรหาวุฒิสภาตามร่างรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550 เมื่อ ให้มากลั่นกรองการทำหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนจะขัดแย้งกับหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาที่ให้ความสำคัญกับตัวแทนของประชาชน และหากให้ วุฒิสภามีอำนาจถอดถอนนักการเมืองด้วยแล้วจะไม่ยุติธรรมกับประชาชนที่เลือกผู้แทนของตนเข้ามา แต่กลับถูกวุฒิสภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมาถอดถอนได้
5. แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ที่ในร่างรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550 กำหนดรายละเอียดไว้มาก ทำให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งชุดต่อไปจะมีภารกิจและข้อผูกมัดว่าจะต้องทำอะไรมากมาย จึงทำให้มีความคล่องตัวในการทำงานน้อยกว่ารัฐบาลตามรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2540 ซึ่งกำหนดให้รัฐบาลสามารถ เลือก ที่จะกระทำหรือไม่ก็ได้
6. คณะกรรมการสรรหาบุคคลให้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระตามร่างรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550 ได้ตัดตัวแทนของพรรคการเมืองที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2540 ออกหมด ทำให้ขาดความเชื่อมโยงกับประชาชน แม้แต่นักวิชาการก็ไม่มี แต่กลายเป็นประธานศาลทั้งหลาย หรือประธานองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญเข้าไปทำหน้าที่สรรหากันเอง ทำให้แนวโน้มที่จะได้บุคคลที่ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระเป็นข้าราชการที่ใกล้เกษียณ โดยตัวแทนภาคประชาชน นักวิชาการไม่มีโอกาสเข้าไปดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญได้เลย
7. การนำเอาฝ่ายตุลาการมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองตามร่างรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550 จะทำให้ระบบการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ โดยอำนาจ 3 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการตามหลักการปกครองประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาจะเสียดุลและเอียงข้างฝ่ายตุลาการมากเกินไป โดยฝ่ายที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ กับฝ่ายบริหารถูกลดอำนาจลงไป เมื่อฝ่ายตุลาการมีอำนาจมากขึ้นก็น่าเป็นห่วงว่าอาจถูกการเมืองแทรกแซงและทำให้สูญเสียความน่าเชื่อถือ
แถมความเห็นส่วนตัวอีกข้อคือ ม.309 รังเกียจมากๆ เพราะปกป้องเผด็จการและทิ้งเชื้อไว้สร้างความชั่วแห่งเผด็จการไว้ชั่วลูกหลานจะเอาไว้ทำไม ทำให้คนกล้าคิดทำลายล้มฉีกรธน.ได้อีก เพราะสามารถยกโทษนิรโทษตัวเองและพวกพ้องตั้งแต่ชาติที่แล้วยันชาติหน้า รังเกียจมากๆต้องเอาออกไป
แก้ไขเมื่อ 15 ธ.ค. 55 10:16:10
จากคุณ |
:
คนไทยรักชาติคนหนึ่ง (peejim)
|
เขียนเมื่อ |
:
15 ธ.ค. 55 10:12:19
A:124.122.152.118 X:
|
|
|
|
 |