เหลียนย่อมมีสองด้านเสมอ ทุกนโยบายก็เช่นกัน
ที่ร่ายยาวเวิ้นเว้อมานั่นถ้าอ่านอย่างเดียวก็จะถูกคนเขียนข่างจูง แต่ถ้าคิดสักหน่อยก็จะกระจ่างแจ้งว่ามันมีสองด้านจริงๆ ยกตัวอย่างใหครับ
-กองทุนหมู่บ้าน และชุมชนเมือง หรือที่เรียกว่า กองทุน SML กองทุนนี้จะทำให้ เป็นหนี้กันทั้งหมู่บ้าน โดยผู้นำครอบครัวที่มีสิทธิยื่นขอใช้เงิน เทียบง่ายๆ คือ คุณพ่อ อันนี้มีมานานแล้ว ทำให้เกิดธุรกิจที่เป็นโอทอปในปัจจุบันมากมาย ที่เจ๊งก็มีที่สำเร็จก็มาก ถ้าคิดแบบ ปชป ก็คงบอกไม่ทำดีกว่าเพราะมีโอกาสเจ๊ง (นิดหน่อยก็ไม่กล้า)
-บัตรเครดิตเกษตรกร ก่อนหน้านี้ เกษตรกรปลูกอะไรก็แล้วแต่ได้อย่างปกติสุขมาตลอด ปัญหามีบ้าง แต่กลไกที่แก้ปัญหาที่ดีที่สุด ไม่ใช่การแจกบัตรเครดิตแน่นอน สิ่งที่พบคือ ร้านรับบัตรมีไม่กี่ร้านส่วนร้านที่รับ ขายของแพงกว่าปกติ เลยเป็นการบังคับไปในตัวให้เกษตรกรต้องซื้อของแพงเกินราคาจริง เพียงเพราะอยากใช้บัตรก่อหนี้ของรัฐบาล สุดท้าย เกษตรกร ก็จะเป็นหนี้มากกว่าเดิม
อันนี่ใหม่ถอดด้าม แต่ลองคิดดูว่าเมื่อก่อนไม่มีบัตรนี้ชาวนาที่ไม่มีเงินมากพอจะเอาปัจจัยการผลิตจากไหน ถ้าไม่ไปเซ็นต์มาจากอาโก (หนองจอก, ล้อเล่น) แล้วก็โดนขูดรีดดอกเบี้ย พอถึงฤดูการผลิตใหม่ก็เข้าสู่วงจรเดิม โอเคดรับคงมีบ้างที่ใช้ไปในทางมิชอบ แต่มันไม่ได้เกิดจากนโยบาย ต้องไปแก้ที่การปฏิบัติครับ
ว่าแต่ นสพ หัวนี้ยังมีคนอ่านแบบไม่คิดอีกเนอะ แถมยังบอกว่าเป็นบทความดีๆ อีกต่างหาก แล้วอย่างนี้อีกสองปีจะเปิดประชาคมอาเซี่ยนแล้วจะตามเพื่อนบ้านทันเหรอครับ น่าเป็นห่วง