 |
โทษเอ็นจีโอปั่นชาวบ้านหัวชนฝา
ต่อข้อถามว่า หากในการประชุมวันที่ 11 ม.ค.นี้ยังไม่มีการตัดสินใจใดๆออกมาบริษัทยูเนี่ยนฯจะดำเนินการอย่างไรต่อไป นายนทีกล่าวว่า คงต้องประเมินสถานการณ์ตามความเป็นจริง ดูว่าจะเป็นอย่างไรจากนี้ไป ทุกอย่างมันขึ้นกับเหตุกับผล ยืนยันที่จะให้รัฐบาลมีการตัดสินใจเรื่องนี้โดยเร็ว เพราะยิ่งล่าช้ายิ่งไม่มีประโยชน์ และหากรัฐบาลเลิกสัญญาโดยไม่มีเหตุผล เรามีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้ ส่วนเรื่องสัญญานั้น ทางเราก็เปิดมาโดยตลอดยกเว้นในตารางที่ 2, 3 และ 4 ซึ่งเป็นสูตรคำนวณค่าไฟ ถือเป็นความลับทางธุรกิจที่ไม่สามารถเปิดเผยได้
เมื่อถามว่า กรณีที่รัฐบาลตัดสินใจดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ในสถานการณ์ที่ยังคงมีความขัดแย้งอยู่ไม่เกรงจะเกิดความรุนแรงหรือ นายนทีกล่าวว่า ตรงนี้คงต้องสอบถามเอ็นจีโอที่เข้าไปปลูกฝังความรู้สึกที่ไม่ถูกต้องให้กับชาวบ้าน เหตุการณ์จะไม่รุนแรงถ้าคนเหล่านี้ไม่นำพาชาวบ้านต่อสู้ในลักษณะหัวชนฝา ตนเชื่อว่าคนไทยและชาวบ้านมีเหตุผล ไม่ว่าจะตัดสินใจสร้างหรือยกเลิกโครงการต้องสามารถอธิบายเหตุผลแห่งการตัดสินใจนั้นได้ ซึ่งทุกคนเขาเข้าใจดี
ส.ว.จี้หาตัวการรับผิดชอบ'ค่าโง่'
วันเดียวกัน น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ส.ว.อุบลราชธานี ในฐานะกรรมาธิการสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา ให้สัมภาษณ์เรื่องสัญญาการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินบ่อนอก-หินกรูด ที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมต.ประจำสำนักนายกฯ ระบุว่ารัฐอาจจะต้องจ่ายค่าโง่ให้กับเอกชนอีกครั้งว่า เป็นเรื่องความผิดพลาดของระบบข้อมูลโดยเฉพาะการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่พบว่าไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง แต่กลับไปสอดคล้องกับเรื่องธุรกิจของพลังงาน และขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน ส่งผลให้รัฐอยู่ในสภาวะต้องจ่ายเงินค่าประกันกำไรให้กับเอกชนถึง 19-20% จากมูลค่าของโครงการ 3-4 แสนล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้กลับนำไปรวมกับหนี้สาธารณะกับค่าไฟฟ้าที่คนไทยจะต้องรับผิดชอบ ซึ่งถือเป็นค่าโง่ที่ต้องถามว่า ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นว่าประชาชนรับภาระค่าโง่เอง ในขณะเดียวกันก็ปล่อยให้คนที่ไร้ประสิทธิภาพในการบริหารราชการอยู่ตรงนี้ต่อไป ซึ่งการหาคนรับผิดชอบไม่ใช่เรื่องยากหากค้นข้อมูลย้อนหลังว่ารัฐบาลใด นักการเมืองคนใดที่ทำเรื่องนี้ก็สามารถหาคนมารับผิดชอบความผิดพลาดตรงนี้ได้
กมธ.ขอดูสัญญาแต่เอกชนไม่ยอม
น.พ.นิรันดร์กล่าวต่อว่า คณะกรรมาธิการฯได้ศึกษาเรื่องนี้ และนายแก้วสรร อติโพธิ ส.ว.กรุงเทพฯ เคยขอดูสัญญาดังกล่าวแต่ไม่ได้รับความร่วมมือ เนื่องจากหน่วยงานที่รับผิดชอบอ้างว่า เป็นการทำสัญญาระหว่างภาครัฐและเอกชน ที่ภาคเอกชนเขียนบังคับไว้ว่าไม่ให้มีการเปิดเผย ทำให้กรรมาธิการไม่สามารถที่จะรับรู้เกี่ยวกับสัญญาฉบับนี้ ซึ่งขณะนี้มีการเรียกร้องให้มีการเปิดเผยตามพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารและเรียกร้องให้นำกฎหมายมาบังคับใช้เป็นรูปธรรม เพราะในมาตรา 58 รัฐธรรมนูญกำหนดชัดเจนว่าการรับรู้ข้อมูลของประชาชนได้ทุกอย่าง ยกเว้นข้อมูลความมั่นคงและข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งสัญญาฉบับนี้ถือเป็นประโยชน์ของประเทศชาติไม่มีเหตุที่จะต้องปิดบัง หากแม้แต่ส.ว.เองก็ยังรู้ไม่ได้แสดงว่ากระทบต่อความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญ
น.พ.นิรันดร์กล่าวด้วยว่า จะต้องกลับมาทบทวนรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งในรูปธรรมนั้นจะปล่อยให้อำนาจธุรกิจและการเมืองเข้ามาบดบังข้อมูลข่าวสารไม่ได้ แม้แต่รัฐมนตรียังออกมายอมรับ เราต้องรวมหัวกันเสนอแก้ไขพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ ให้สนองต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 58
"เราต้องสร้างรูปธรรมในการเข้าถึงระบบข้อมูลไม่ใช่ต้องไปเรียกร้อง หรือขออนุญาตให้เปิดเผย ควรให้นำข้อมูลสัญญาต่างๆมาเปิดเผยทางอินเตอร์เน็ตด้วย ใครก็เปิดได้ทันที ทั้งนี้ จะตั้งกระทู้ถามรัฐบาลให้เห็นถึงปัญหา เพราะส.ว.ไม่สามารถเสนอแก้ไขกฎหมายได้ แต่สามารถตั้งกระทู้ถามให้ส.ส.หรือรัฐบาลมองเห็นถึงปัญหานี้ เพื่อจะได้เป็นผู้เสนอแก้ไขกฎหมายต่อไป หรืออีกทางหนึ่งคือให้ประชาชน 5 หมื่นคนเข้าชื่อเสนอกฎหมายเอง" น.พ.นิรันดร์กล่าว
ชมรมไทยกู้ชาติชำแหละโรงไฟฟ้า
วันเดียวกันเวลา10.00น. ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ชมรมร่วมใจไทยกู้ชาติ จัดสัมมนาหัวข้อ "สัญญาโรงไฟฟ้าเอกชนใครได้" โดยมีนายโสภณ สุภาพงษ์ ส.ว.กทม. โฆษกคณะกรรมาธิการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ วุฒิสภา นายณรงค์ โชควัฒนา ประธานกลุ่มธุรกิจเครือสหพัฒน์ นายวุฒิพงษ์ เพียบจริยวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการสถาบันสหัสวรรษ นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชั่น เป็นผู้ร่วมสัมมนา มีนายศัตรวัฒน์ แก้วมณีโชติ ชมรมร่วมใจไทยกู้ชาติ เป็นผู้ดำเนินรายการ
นายโสภณ กล่าวว่า สัญญารับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนเมื่อปี2540 ได้ส่งผลเสียหายต่อประเทศชาติอย่างมาก คณะกรรมาธิการสิ่งแวดล้อม คณะกรรมาธิการการมีส่วนร่วม และคณะกรรมาธิการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ วุฒิสภา ได้ให้ความสนใจและศึกษาเรื่องนี้ เนื่องจากมีประชาชนร้องเรียนเกี่ยวกับค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้นผิดปกติ และประชาชนเดือดร้อนจากโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ซึ่งจากการศึกษาของคณะกรรมาธิการทั้ง3คณะ ได้ข้อสรุปเหมือนกันคือสัญญาดังกล่าวส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติ ประชาชน
ต้องเปิดสัญญาแล้วหาทางแก้ไข
นายโสภณ กล่าวต่อว่า จากสัญญาที่ กฟผ.ทำกับเอกชนดังกล่าว จะทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟฟ้าแพงขึ้น3หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งทางเลือกในการลดค่าใช้จ่ายตรงนี้คือคงการใช้โรงไฟฟ้าของ กฟผ. ที่มีแผนการปลดรวมกำลังการผลิต7,000เมกะวัตต์ และความเสียหายนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นควรมีการเปิดเผยสัญญาทั้งหมดที่ทำกับเอกชน ให้สาธารณชนรับรู้ และศึกษาถึงสาเหตุว่าเกิดจากอะไร เพื่อหาทางแก้ไขต่อไป
นายโสภณ กล่าวอีกว่า การใช้ไฟฟ้าของคนไทยช่วงต่ำสุดอยู่ที่ประมาณ7,000เมกะวัตต์ สูงสุด16,126เมกะวัตต์ เฉลี่ยอยู่ที่11,800เมกะวัตต์ ขณะที่มีกำลังผลิตติดตั้งขณะนี้23,900เมกะวัตต์ เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ไฟฟ้าต่ำสุด จะมีกำลังไฟฟ้าเกิน102% และเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ย จะมีกำลังไฟฟ้าเกิน48% สาเหตุที่ทำให้เอกชนเข้ามาลงทุนสร้างโรงไฟฟ้า ทั้งที่มีกำลังไฟฟ้าเกินความต้องการ มาจากสัญญาที่ระบุไว้ว่าเอกชนจะได้รับเงินลงทุนบวกกำไร 19-20% จากการเก็บเงินจากผู้ใช้ไฟฟ้า ดังนั้นเอกชนผู้ลงทุนจึงไม่มีความเสี่ยงเรื่องการขาดทุน
"การพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าโดยสำนักงานนโยบายพลังงานแห่งชาติ(สพช.) เมื่อเดือนเม.ย.2539 ระบุว่า ปี2554 จะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าอยู่ที่42,649 เมกะวัตต์ สพช.จึงเสนอต่อคณะกรรมการพลังงานแห่งชาติ(กพช.) เพื่อขออนุญาตซื้อไฟฟ้าจากเอกชน5,800เมกะวัตต์ ต่อมาปี2540เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ และมีการพยากรณ์ว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าในปี2554 จะลดลง5,602เมกะวัตต์ และพยากรณ์เมื่อปี2541 ว่า ในปี2554 ความต้องการใช้ไฟฟ้าจะลดลง12,062เมกะวัตต์ แต่ สพช.ยังคงผลักดันให้มีการลงนามสัญญาซื้อไฟฟ้าจากเอกชนในปี2540 รวมเป็น7ราย ซึ่งเป็นเรื่องที่กลับกัน เพราะ สพช.บอกเองว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลง แต่เร่งรัดให้เซ็นสัญญาซื้อไฟฟ้าจากเอกชน" นายโสภณ กล่าว
25ปีเอกชนฟันนิ่มๆ1.71ล้านบาท
นายโสภณ กล่าวต่อว่า ในสัญญามีข้อที่สำคัญที่ระบุว่า รัฐจะต้องจ่ายเงินให้กับเอกชนคู่สัญญา2ส่วน คือค่าเอพี ซึ่งเป็นค่าพร้อมใช้ ค่าลงทุน และกำไร19-20% ซึ่งจะจัดเก็บกับประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้า คำนวณแล้วตลอดอายุสัญญา25ปี รวม860,000ล้านบาท และค่าเชื้อเพลิงในการผลิต850,000ล้านบาท รวมทั้งหมด1.71ล้านล้านบาท ตนคิดว่ารัฐบาลควรจะตรวจสอบให้ชัดเจนว่าการเร่งรัดให้เซ็นสัญญาและการแก้ไขสัญญานั้นมีสาเหตุมาจากอะไร
"เมื่อมีการลงนามในสัญญา แผนการต่างๆ ก็ตามมา กฟผ.ต้องปลดโรงไฟฟ้าของตัวเองก่อนกำหนด เช่น ปางปะกง ระยอง พระนครใต้ น้ำพอง หนองจอก แม่เมาะ พระนครเหนือ รวมกำลังการผลิต7,128เมกะวัตต์ เพื่อเปิดทางให้โรงไฟฟ้าเอกชน7ราย รวมกำลังการผลิต5,943เมกะวัตต์ ผมได้หารือกับกลุ่มผู้บริหารระดับรองผู้ว่าฯ กฟผ.4ครั้ง ซึ่งทุกท่านเห็นด้วยที่ว่าไม่จำเป็นต้องปลดโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ก็สามารถผลิตไฟฟ้าได้7,000เมกะวัตต์ โดยไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าไฟฟ้าให้เอกชนปีละ35,000ล้านบาท และหากมีการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ก็จะเพิ่มกำลังการผลิตได้อีก" นายโสภณ กล่าว
ดีที่สุดง่ายที่สุดกฟผ.ใช้โรงไฟฟ้าเดิม
นายโสภณ กล่าวต่อว่า นอกจากจะประหยัดเงินได้ปีละ35,000ล้านบาทแล้ว ยังประหยัดเงินลงทุนสร้างสายส่งใหม่ เพื่อรองรับโรงไฟฟ้าของเอกชนอีกหลายแสนล้านบาท อีกทั้งไม่ต้องห่วงเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่จะเพิ่มมากขึ้น และวิถีชีวิตของประชาชนที่จะได้รับผลกระทบ และไม่ต้องปลดพนักงานของ กฟผ. เพราะการปลดโรงไฟฟ้าก็ต้องปลดพนักงานด้วย ดังนั้นการคงโรงไฟฟ้าของ กฟผ.โดยไม่ต้องให้เอกชนสร้างโรงไฟฟ้า จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดและง่ายที่สุด เพียงแต่นโยบายและเหตุผลบางประการที่ทำให้ทางเลือกนี้ใช้ไม่ได้ ในระยะเวลา10ปี ไม่มีความจำเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้าบ่อนอกและโรงไฟฟ้าหินกรูด หาก กฟผ.กล้าหาญพอที่จะแสดงสิ่งนี้ออกมา
นายโสภณ กล่าวอีกว่า ในทางเทคนิคเราพบว่าช่วงเวลาที่ใช้ไฟฟ้าสูงสุด นานแค่15-30นาที ในรอบ1ปี ซึ่งการลงทุนปีละ35,000ล้านบาท เพื่อตอบสนองการใช้ไฟฟ้าสูงสุด15-30นาทีนั้น ถือว่าแปลกมาก ตนคิดว่าเป็นการมองทางธุรกิจมากเกินไป ในทางเทคนิคสามารถแก้ไขปัญญาการใช้ไฟฟ้าสูงสุดได้ โดยให้โรงงานอุตสาหกรรม ห้างสรรพสินค้าที่ใช้ไฟฟ้ามาก เดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองของตัวเองในช่วงเวลาดังกล่าว และรัฐก็จ่ายค่าไฟฟ้าส่วนนี้ให้กับโรงงานอุตสาหกรรมหรือห้างสรรพสินค้า ซึ่งเป็นเงินไม่มาก และกฟผ.ยินดีที่จะดำเนินการ หากมีผู้สนับสนุน
อีก10ปีข้างหน้าก็ยังไม่จำเป็น
นายโสภณ กล่าวต่อว่า เรื่องเพาเวอร์พูล ที่ว่าจ้างให้บริษัทที่ปรึกษาต่างชาติ500ล้านบาท ทำการศึกษาอยู่ในขณะนี้ สมควรที่จะหยุดได้แล้ว เพราะจะส่งผลเสียหายต่อประเทศชาติอีกมหาศาล และการศึกษาของต่างชาติย่อมเอื้อประโยชน์ให้ต่างชาติ อย่างไรก็ตามภาคประชาชนควรจะเรียกร้องให้มีการเปิดเผยสัญญาที่ทำกับเอกชน ว่ามีการแก้ไข และสัญญาเสียเปรียบอย่างไร เพราะการแก้ไขสัญญา เพื่อต่อเวลาการเซ็นสัญญาเงินกู้ของโรงไฟฟ้าบ่อนอกและโรงไฟฟ้าหินกรูด7ครั้งนั้น มีการเพิ่มค่าชดเชยให้กับเอกชน ครั้งละ3-4% นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขสัญญาในเรื่องค่าชดเชยค่าเงินบาทที่ปรับตัวลดลง โดยบริษัทที่ปรึกษาต่างชาติเสนอว่า ให้ชดเชยในส่วนที่เกิน28บาทขึ้นไป แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตกลงชดเชยในส่วนที่เกิน27บาท เพิ่มจากเดิม1บาท และรวมกันแล้วเป็นเงินจำนวนมหาศาล
ด้านนายวุฒิพงษ์ กล่าวว่า ช่วงนี้มีการพูดบ่อยครั้งว่าหากไม่สร้างโรงไฟฟ้าหินกรูดและบ่อนอก จะเกิดความหายนะแน่นอน แต่ตนเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งตัดสินใจ เพราะวันนี้เรามีกำลังไฟฟ้ากว่า23,000เมกะวัตต์ ในระยะ5-10ปี ไม่ต้องทำอะไรเลยก็สามารถอยู่ได้ และหากเศรษฐกิจดีขึ้น เราก็ยังสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าของ กฟผ.ให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นได้ ดังนั้นจึงควรรอออกไปก่อน
แฉเข้าข่ายสัญญาอภิมหาโง่
นายวุฒิพงษ์ กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ตนอยากให้รอไปก่อน เนื่องจากสัญญาที่ กฟผ.ทำกับเอกชนมีข้อสงสัยมากมาย เป็นสัญญาที่เข้าข่ายอภิมหาโง่ เพราะรัฐจะต้องจ่ายเงินให้กับเอกชน ทั้งค่าเอพีและค่าอีพี ค่าเอพีคือการจ้างให้เอกชนสร้างโรงไฟฟ้า ซึ่งค่าเอพีของโรงไฟฟ้าหินกรูดและบ่อนอกนั้น รวมประมาณ350,000ล้านบาท หักค่าดอกเบี้ยออกไปเหลือประมาณ250,000ล้านบาท เพื่อกำลังไฟฟ้า2,100เมกะวัตต์ แต่ความจริงค่าต้นทุนการผลิตไฟฟ้ากำลังผลิตเท่ากันอยู่ที่75,000ล้านบาท แสดงว่ารัฐต้องจ่ายเงินเกินความจริง3.5เท่า
นายวุฒิพงษ์ กล่าวอีกว่า ถึงแม้ว่าต้องการไฟฟ้า2,100เมกะวัตต์ ก็ไม่ได้หมายความว่าไฟฟ้าจะต้องมาจากบ่อนอกหรือบ้านกรูด ยังมีสถานที่อื่นๆ อีกมากมาย แต่ไม่ได้สำรวจ เพราะเอกชนหาสถานที่โดยให้นายหน้าซึ่งมีแต่นามสกุลใหญ่ๆ วิ่งหาที่ดิน ซึ่งไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง ทั้งนี้ไม่มีความจำเป็นจะต้องหาสถานที่ใหม่เพื่อก่อสร้าง เพราะพื้นที่โรงไฟฟ้าของ กฟผ.ยังเหลืออีกมากมาย สามารถที่จะใช้พื้นที่สร้างเพิ่มเติมได้ โดยไม่มีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น ชุมชนก็ไม่ต้องแตกแยก อีกทั้งไม่มีความจำเป็นที่เชื้อเพลิงจะต้องเป็นถ่านหิน ซึ่งต้องจ่ายค่าเทค ออร์ เปย์ เหมือนก๊าซธรรมชาติจากประเทศพม่า และก๊าซธรรมชาติจากพม่านั้นใช้ไปอีก10ปีก็ไม่หมด การอ้างว่าใช้ถ่านหินเพื่อกระจายความเสี่ยง ทั้งที่ได้ต้องจ่ายค่าก๊าซธรรมชาติไปแล้วจึงฟังไม่ขึ้น ถ่านหินส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากมาย จึงมีความพยายามผลักดันมาให้ประเทศที่สาม ที่ยอมจ่ายค่าโง่ง่ายๆ และจ่ายเทค ออร์ เปย์
นายวุฒิพงษ์ กล่าวต่อว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจ่ายให้เอกชน250,000ล้านบาท เพื่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ลงทุนจริงเพียง75,000ล้านบาท กฟผ.สามารถสร้างเองได้ หากอ้างว่าไม่มีเงินลงทุน แล้วเอาเงินจากไหนมากจ้างเอกชนถึง250,000ล้านบาท กฟผ.ไม่จำเป็นต้องใช้เงินตัวเองลงทุน เพียงแต่ใช้ความชำนาญในการสร้างโรงไฟฟ้า ตั้งบริษัทขึ้นมาแล้วกระจายหุ้นให้แก่ประชาชน แล้วนำเม็ดเงินที่ได้มาสร้างโรงไฟฟ้า โรงไฟฟ้าราชบุรีใช้เวลาเพียง17นาที ก็ขายหุ้นได้หมด ปตท.ใช้เวลาเพียง1.7นาที ก็ขายหมด ทำไม กฟผ.จะทำไม่ได้
นี่คือคอร์รัปชั่นรูปแบบใหม่
"สิ่งที่เรากำลังเผชิญคือสัญญาทาส เป็นการคอร์รัปชั่นรูปแบบใหม่ เป็นค่าโง่ที่เรียกว่าอภิมหาโง่หรือโง่ใหญ่ เพราะเงินที่จะต้องสูญเสียนั้นมูลค่าหลายแสนล้านบาท โดยคนที่เซ็นสัญญาไม่ใช่คนโง่ แต่เป็นขบวนการแกล้งโง่" นายวุฒิพงษ์ กล่าว
ขณะที่นายวีระ กล่าวว่า คนไทยกำลังได้รับความหายนะ โดยที่ไม่ได้เป็นผู้ก่อ แต่มาจากคนไม่กี่คนที่เข้าไปมาบทบาททางการเมือง เข้ามาก่อโครงการต่างๆ ที่ประชาชนต้องร่วมรับผิดชอบ ซึ่งโรงไฟฟ้าบ่อนอกและหินกรูดชัดเจนที่สุด ประชาชนไม่มีส่วนในการตัดสินใจและร่วมแก้ไขปัญหา แต่ต้องมาเผชิญหน้ากันเอง สังคมไทยมีนักการเมือง ข้าราชการ และนักลงทุน เข้ามาเอาผลประโยชน์จากโครงการใหญ่ๆ มานาน นักวิชาการที่ใช้ความรู้ความสามารถเฉพาะทางที่ผูกขาดอยู่ไม่กี่คน เข้ามาเสนอนโยบายและตั้งเป็นโครงการให้กับนายทุน โดยมีนักการเมืองให้ความร่วมมือ
จี้รัฐบาลยื่นป.ป.ช.ลงโทษคนผิด
นายวีระ กล่าวต่อว่า โรงไฟฟ้าหินกรูด-บ่อนอก มีบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย แม้แต่นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกฯก็เกี่ยวข้องในฐานะเจ้าของบริษัทยูเนี่ยน การแปรรูปไฟฟ้าให้เอกชนเข้ามาดำเนินการ เกิดขึ้นในยุคอานันท์2 และยูเนี่ยนก็เข้ามาประมูลรับสัมปทาน จากนั้นนำไปขายต่อ ตนคิดว่าหากมีการจ่ายค่าชดเชยควรให้คนที่ก่อปัญหาเป็นผู้จ่าย ไม่ใช่ให้ประชาชนที่ไม่รู้เรื่องจ่าย ประชาชนต้องลุกขึ้นมาบอกกับรัฐบาลว่าไม่รู้ไม่เห็นและไม่ได้เสนอโครงการนี้ ใครทำคนนั้นต้องรับผิดชอบ หากรัฐบาลมีข้อมูลความไม่ถูกต้อง และมีความจริงใจในการปราบปรามการคอร์รัปชั่น ควรส่งให้ป.ป.ช.ดำเนินการนำคนที่ทำความเสียหายมาลงโทษ เพียงแต่รัฐบาลจะกล้าหาญหรือจริงใจหรือไม่ ทั้งนี้การทำความเสียหายแก่ประเทศชาติโดยนักการเมือง นักวิชาการ ข้าราชการ และนายทุนนั้น จะต้องถูกจับตามองจากประชาชนอย่างใกล้ชิด ประชาชนจะต้องลุกขึ้นมาหยุดโอกาสที่จะสร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติ
อ้างเป็นสัญญาลับเพราะขี้โกง
ส่วนนายณรงค์ กล่าวว่า สัญญารับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนเริ่มจากความคิดที่ว่า เราไม่ควรก่อหนี้โดยให้ กฟผ.สร้างโรงไฟฟ้าเอง ควรให้เอกชนเป็นผู้สร้าง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือประชาชนทุกคนต้องมารับหนี้สินที่เกิดขึ้นจากสัญญานี้ ถ้าไม่เรียกว่าสัญญาทาสแล้วจะเรียกว่าสัญญาอะไร เพราะโรงไฟฟ้า7แห่งต้องรับซื้อในราคา1.71ล้านล้านบาท ซึ่งเงินดังกล่าวคือค่าไฟฟ้าที่จะบวกเข้ามาเรื่อยๆ จนครบอายุสัญญา คนที่เซ็นสัญญาอภิมหาโง่ ไม่ใช่คนโง่ ตนมั่นใจว่ามีผลประโยชน์แน่นอน เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นมากมายขนาดนี้เพียงพอหรือไม่ที่จะบอกว่ามีผลประโยชน์ เมื่อคนร่างนโยบายของรัฐไม่มีความจริงใจ ก็จะไม่มีสัญญาเพื่อประเทศชาติ ทุกวันนี้สัญญายังเป็นความลับ และนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมต.ประจำสำนักนายกฯ บอกว่าเป็นความลับ แต่ตนคิดว่าไม่ใช่ความลับ เพราะเงินหลายพันล้านบาทจะเป็นความลับกับประชาชนเจ้าของประเทศได้อย่างไร
นายณรงค์ กล่าวต่อว่า การบอกว่าสัญญาเป็นความลับนั้น แสดงให้เห็นว่าคนที่เซ็นสัญญาเป็นคนขี้โกง ทำให้สัญญาเป็นสัญญาลับ ธุรกิจในโลกนี้ไม่มีที่จะไม่ต้องเสี่ยง แต่ประเทศไทยโดยเฉพาะโรงไฟฟ้าไม่ต้องมีความเสี่ยงใดๆ เอกชนได้รับกำไรต่อปี19-20% คนที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ควรอยู่ในอำนาจต่อไปหรือไม่ องค์กรอย่าง สพช.ควรได้รับความเชื่อถือจากประชาชนหรือไม่ ดีแต่โฆษณารณรงค์ให้ประหยัดไฟฟ้า เสียเงินเป็นพันล้านบาท ไม่ได้ประโยชน์อะไร ผลาญเงินโดยเปล่าประโยชน์ เราใช้ไฟฟ้าสูงสุดไม่กี่วัน หากมีการบริหารจัดการที่ดีสามารถประหยัดเงินได้มหาศาล และยังออกมาข่มขู่ประชาชนอีกว่าหากไม่สร้างโรงไฟฟ้าบ่อนอกและหินกรูดประเทศชาติจะหายนะ
ชาวบ้าน20คันรถเตรียมบุกกรุง
จากนั้นน.พ.บุญเทียม เขมาภิรัตน์ จากชมรมร่วมใจไทยกู้ชาติ กล่าวแสดงความคิดเห็นระหว่างการสัมมนาว่า ตนเชื่อในข้อมูลที่นำมาเปิดเผยว่าส่อให้เห็นถึงพฤติกรรม กรณีนี้เราอาจจะรวมตัวกันประมาณ1แสนคน เพื่อที่จะกล่าวหาผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จะพึ่งรัฐบาลอย่างเดียวคงไม่ได้ แม้ว่ารัฐบาลจะเห็นด้วยกับเราแต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ตนคิดว่าเราน่าจะรวมตัวกันเพื่อนำเรื่องสัญญาโรงไฟฟ้านี้ ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เพื่อให้ศาลปกครองได้ใช้อำนาจตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป
นายเจริญ วัดอักษร ประธานกลุ่มรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก ซึ่งเดินทางมาร่วมงานสัมมนาครั้งนี้ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง ระบุว่าสัญญาโรงไฟฟ้ามีข้อควรสังเกตหลายประการ ว่า ถือว่าเป็นเรื่องดีที่รัฐมนตรีเห็นถึงความไม่ชอบมาพากลของโรงไฟฟ้า ซึ่งก่อนหน้านี้ชาวบ้านพูดมานานแล้วว่าสัญญาดังกล่าวไม่เป็นธรรม และนอกจากการเลื่อนเวลาให้ทางโรงไฟฟ้าแล้ว เชื่อว่ายังมีผลประโยชน์ที่ซุกซ่อนอีกหลายประเด็น ควรที่จะนำมาเปิดเผยต่อสาธารณชน ให้รับรู้กันทั้งประเทศ และการที่นายจาตุรนต์ให้ กฟผ.ไปตรวจสอบการแก้ไขสัญญานั้น ควรจะนำมาเปิดเผยให้สังคมได้รับทราบด้วย เพราะเราไม่มั่นใจว่าการตรวจสอบดังกล่าวจะเอื้อประโยชน์ให้โรงไฟฟ้าอีกหรือไม่ ดังนั้นนายจาตุรนต์ควรทำเรื่องนี้ให้ชัดเจน
"นอกจากเรื่องสัญญาแล้ว ยังมีเรื่องที่ดินสาธารณะ และเรื่องรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ.)ที่ผิดพลาด ที่รัฐบาลสามารถนำไปอ้างในการยกเลิกโครงการนี้ได้ อย่างไรก็ตามวันที่11มกราคมที่จะถึงนี้ ชาวบ้านจะเดินทางโดยรถบัส20คัน เพื่อมารับฟังการประชุม โดยจะรวมตัวกันที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เวลา08.00น. ของวันดังกล่าว" นายเจริญ กล่าว
จัดทัวร์บ่อนอก-บ้านกรูดสุดคึกคัก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างวันที่ 15-17 ก.พ.นี้ บริษัท สวนเงินมีมา จำกัด เลขที่ 117 ถ.เฟื่องนคร (ตรงข้ามวัดราชบพิธ) เขตพระนคร กทม. จัดทัศนนิเวศ "ตามรอยสายน้ำ" ที่บ้านบ่อนอก และบ้านกรูด จ.ประจวบฯ โดยตามกำหนดการระบุว่า ออกเดินทางในเวลา 08.00 น. วันศุกร์ที่ 15 ก.พ. จากบริเวณจุดนัดพบหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สนามหลวง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ช.ม.ถึงที่พักที่บ้านบ่อนอกในเวลา 14.00 น. จากนั้นล่องเรือเลียบป่าชายเลน เพื่อชมธรรมชาติ ดูนกนานาพันธุ์ ป่าโกงกาง จนไปถึงปากอ่าวเพื่อชมปลาวาฬ กลับเข้าที่พักรับประทานอาหารและพบสนทนาสภาพปัญหา "การก่อสร้างโรงไฟฟ้า" กับนายเจริญ วัดอักษร ประธานกลุ่มรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก
ส่วนวันเสาร์ที่ 16 ก.พ. ภายหลังรับประทานอาหารเช้า ศึกษาวิถีชีวิตชุมชนท้องถิ่น 11.00 น.เดินทางต่อไปยังบ้านกรูด เมื่อเข้าที่พักแล้ว คณะจะได้ไปดำน้ำชมปะการัง และธรรมชาติใต้น้ำ และในเวลา 19.30 น. สนทนาสภาพปัญหากับนางจินตนา แก้วขาว ตัวแทนชาวบ้านกรูด เรื่อง "การก่อสร้างโรงไฟฟ้าและผลกระทบต่อธรรมชาติ" โดยในวันที่ 17 ก.พ. จะออกเดินทางกลับ ถึงกทม.เวลา 15.30 น.
สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อการเดินทางครั้งนี้ คิดอัตราค่าลงทะเบียนเป็นค่าอาหาร ที่พัก และพาหนะเดินทาง ตลอดจนเอกสารคนละ 3,800 บาท ผู้สนใจสามารถติดต่อบริษัทสวนเงินมีมา จำกัด หมายเลขโทรศัพท์ (02)222-5698 (02)622-0955 หรือส่งธนาณัติ สั่งจ่ายน.ส.พันธิพา คงถาวร ปณ.มหาดไทย หรือโอนเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทย สาขาเสาชิงช้า ในชื่อของบริษัท สวนเงินมีมา จำกัด เลขที่ 159-1-04293-3 ตั้งแต่นี้ไปจนถึงวันที่ 5 ก.พ. รับจำนวน 20 คนเท่านั้น
คนเมืองจะเข้าใจชาวบ้านมากขึ้น
นางวัลลภา คุณติรานนท์ ผู้จัดการบริษัทสวนเงินมีมา กล่าวว่า สำหรับบริษัทดังกล่าว เกิดจากแนวความคิดของนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ"ส.ศิวรักษ์" นักคิดนักเขียนที่ต้องการจะทำธุรกิจแนวใหม่ที่เป็นทางเลือก สนับสนุนสังคม และชุมชน หนึ่งในโครงการนี้คือการทำธุรกิจท่องเที่ยวเชิงนิเวศเพื่อให้เห็นว่าชุมชนบ้านเรามีระบบนิเวศความเป็นอยู่ที่ดี แต่ด้วยผลของการพัฒนาที่เข้าไปทำลายความเป็นท้องถิ่นชุมชน ซึ่งคนที่เข้าร่วมในโครงการจะได้สัมผัสถึงความงาม ความรู้ที่มีอยู่ในธรรมชาติ สังคม ชุมชน ในสภาพของพื้นที่จริง โดยโครงการนี้เราจัดร่วมกับชาวบ้านทั้งที่บ่อนอก และบ้านกรูด ซึ่งเป็นพื้นที่ตั้งโครงการโรงไฟฟ้า เราคาดหวังว่าอย่างน้อยผู้ที่ร่วมเดินทางไปกับเรา 20 คนที่ได้ไปเห็นสภาพข้อเท็จจริง และพูดคุยกับคนในชุมชนแล้วนำกลับมาสื่อสารกับคนที่ส่วนกลาง อย่างน้อยเขาก็รู้เท่าทันกระแสของการพัฒนา ไม่ตกเป็นทาสของระบบ
นางวัลลภา กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการนี้ถือเป็นการจัดท่องเที่ยวเชิงนิเวศครั้งที่ 2 จากที่เคยจัดครั้งแรก เมื่อเดือนพ.ย.44 ครั้งนั้นจัดล่องน้ำโขง เพื่อพบกับชีวิตชุมชุนลุ่มน้ำมูล จ.อุบลราชธานี ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี กระแสตอบรับจากผู้ที่เข้าร่วมโครงการยอมรับว่าเดิมเข้าใจว่าชาวบ้านปากมูลต้องการเรียกร้องเงินค่าชดเชยอย่างไม่รู้จักจบสิ้น แต่พอลงไปรับทราบข้อมูลแลกเปลี่ยนความเห็น ได้พบกับอัธยาศัยที่เป็นมิตรและมีน้ำใจของชาวบ้าน ทราบถึงสภาพปัญหาและเข้าใจชาวบ้านมากยิ่งขึ้น โดยที่โครงการนี้นายสุลักษณ์ได้เคยลงมาสำรวจความเป็นไปได้ที่จะทำโครงการลักษณะนี้ที่จ.ประจวบฯ ก่อนเป็นที่มาของการจัดท่องเที่ยว
เปิดรายงานลับกฟผ.'โคตรพิรุธ'
สำหรับกรณีที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมต.สำนักนายกฯ ตั้งข้อสังเกตต่อการแก้ไขสัญญาหลายครั้งเพื่อขยายระยะเวลาอันเป็นสาระสำคัญว่าด้วยการกำหนดวันทำสัญญาเงินกู้ โดยอำนาจของคณะกรรมการบริหารการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือบอร์ด กฟผ.ชุดเดิม ทั้งที่มีคำสั่งขอให้บอร์ดชุดดังกล่าวงดประชุม เมื่อเดือนเม.ย.44 เนื่องจากจะมีการแต่งตั้งบอร์ดชุดใหม่เข้ามาแทน แต่กลับมีการลงนามแก้ไขสัญญาในวันที่ 17 พ.ค.44 ในเวลาต่อมานั้น รายงานข่าวแจ้งถึงรายงานลับการประชุมบอร์ด กฟผ. ครั้งที่ 4/2544 ในวันศุกร์ที่ 20 เม.ย.44 ที่ห้องประชุมคณะกรรมการ กฟผ. ตามข้อร้องเรียนเหตุสุดวิสัยและการเลื่อนโครงการของบริษัทยูเนี่ยน เพาเวอร์ ดีเวลล็อปเมนต์ จำกัด ซึ่งเป็นโครงการไอพีพี ได้ข้อสรุปจากการที่ฝ่ายบริหารดำเนินการตามมติบอร์ด โดยเข้าเจรจากับบริษัทยูเนี่ยนฯ เพื่อหาข้อยุติเกี่ยวกับการเลื่อนกำหนดแล้วเสร็จของโครงการ มีข้อตกลงออกมาว่า บริษัทยูเนี่ยนฯ จะยุติข้อเรียกร้องเหตุสุดวิสัย อันเนื่องมาจากหน่วยงานของรัฐ (Governmental Force Majerne ) หรือ GFM หาก กฟผ.เลื่อนกำหนดแล้วเสร็จของโครงการออกไป 24 เดือน และมีการปรับค่าไฟฟ้าในส่วนของความพร้อมจ่ายเพิ่มขึ้นจำนวน 4.5% ซึ่งทางบริษัทยูเนี่ยนฯ ระบุว่ายินยอมที่จะถอนข้อเรียกร้องเหตุสุดวิสัยฯ หรือ GFM รวมถึงการเรียกร้องใดๆ จาก กฟผ.ออกไป
จากคุณ |
:
spindle
|
เขียนเมื่อ |
:
17 ธ.ค. 55 20:23:03
A:110.77.204.176 X:
|
|
|
|
 |