 |
ขออภัยมาตอบช้าไปหน่อย คงไม่ช้าไป
"วันนี้ ก๋วยเตี๋ยว ชามละ 30 บาท ถ้า เรารู้ว่า ในวันพรุ่งนี้ เราจะขาย ก๋วยเตี๋ยวได้ราคา 50 บาท ใน ปริมาณเท่าเดิม ท่านจะลงทุนเพิ่มหรือไม่
จริง ๆ แล้ว แค่ ผลิตเท่าเดิม ก็ ได้ กำไรมากขึ้นแล้ว แต่ ถ้า ราคาตลาดสูงขึ้น ผู้ผลิตเดิมย่อมจะผลิตเพิ่มขึ้น และ ผู้ผลิตรายอื่น ๆ ก็ ย่อมจะลงทุนเพิ่มไปด้วย"
ประเด็นนี้ผมว่า มันก็เป็นไปตามหลักเศรษฐศาสตร์ เมื่อมีผู้ผลิตมากขึ้น ราคาก็จะปรับตัวลดลง เข้าสู่ราคาดุลยภาพใหม่ ดังนั้นมาแนวนี้ คงเป็นไปได้ยากที่ราคาจะสูงขึ้น
"แต่นอนครับ เจ้าของปัจจัยการผลิตได้ประโยชน์ แต่ ชาวนาที่ ผลิตข้าวไปขายก็ ได้ประโยชน์ นะครับ ...บอกผมสิครับ ชาวนาขาดทุนตรงไหน และการที่ เจ้าของปัจจัยการผลิตที่ คุณยกตัวอย่างมา นั้น จะได้ กำไรเพิ่มไปบ้าง มันไม่ชอบธรรมตรงไหนครับ เค้าขายดีึขึ้นเค้ามีกำไรขึ้น ไม่ไ้ดเหรอครับ"
อันนี้ผมแค่ชี้ว่า รัฐบาลคิดว่า ชาวนาควรได้เงินเพิ่มขึ้นอีกตันละ ประมาณ 4,000 บาท ชาวนาถึงจะอยู่ได้
แต่พอรัฐให้เพิ่ม กลับกลายเป็นแบ่งไปให้หลายฝ่าย สุดท้ายเมื่อเข้าสู่สมดุล 4,000 บาท ที่รัฐยอมควักกระเป๋าให้เพิ่ม ก็ไม่ใช่เป็นของชาวนาหมด หรือชาวนาก็ยังได้ไม่พอกับทีคิดว่าควรจะได้
"ส่วนความคิดที่ว่า ข้าวเหลือ แล้ว เผาทิ้ง ....... ถามว่าเป็น คุณจะรอให้มันเน่าแล้วเผา หรือ ขายในราคาพอรับได้ ไปก่อนจะเน่าล่ะครับ
่ทำไมข้าวต้องส่งออกเพียงอย่างเดียวล่ะครับ ขายในประเทศไม่ได้เลยเหรอครับ บรรจุถุงขายปลีกให้ประชาชทั่วไปได้ซื้อไป รับประทานในราคาถูกหน่อยไม่ได้เลยเหรอครับ
ถ้าคิดแค่ว่า ข้าวขายไม่ออก ก็ เหลือเน่า เหลือเผา เหลือทิ้ง มัน ก็ ใช่ ล่ะครับ แต่ คิดทางเลือกอื่นบ้างนะครับ"
อันนี้นะครับ ผมก็สงสัยมาหลายเดือนแล้วครับว่า ทำไมไม่หาวิธีระบายออกทางอื่น เพื่อทำให้สต๊อกลดลง ทำไมต้องเพิ่มสต๊อกปีนี้ปีเดียว ถึง 8 ล้านตัน
ซึ่งผมว่า รมต.แสดงออกชัดเจนมากว่า ถ้าไม่ได้ราคาที่รับได้ ก็จะไม่ขาย ก็คงต้องรอให้ใกล้เน่าแหละครับ ถึงจะคิดได้ แล้วรอไปขายตอนนั้น มันจะได้ราคาขนาดไหน ก็ลองประมาณดู
ถ้าปีนี้ยอมขายออกไปอีกสัก 4-5 ล้านตัน ก็จะทำให้ประเทศไทยทำสถิติส่งออกข้าวมากกว่าปีก่อนอีก แล้วก็จะทำให้ราคาข้าวของไทย ขายไม่ได้เท่าที่ขายตอนนี้ เพราะมันหลักพื้นฐาน คือยิ่งขายปริมาณมาก ราคาก็ต้องถูกลง
ดังนั้น รัฐบาลเลยยอมขายน้อย ยึดตัวเลขต่อหน่วยที่สูง แต่มูลค่ารวมลดลง ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะมีประโยชน์อะไรในท้ายที่สุด
สมมติว่า ปีก่อน ไทยส่งออกข้าว 10 ล้านตัน ราคาเฉลี่ย 20,000 บาท ก็ได้เงิน 2 แสนล้านบาท
ปีนี้ประเทศไทยถ้าขายข้าว 10 ล้านตัน จะได้ราคาเฉลี่ย 20,000 บาท ก็คือได้เงินเท่าเดิม ราคาเท่าเดิม
แต่พอรัฐบาลใช้นโยบายขายข้าวน้อย เอาราคาสูง ตอนนี้ขายได้ 7 ล้านตัน ได้ราคาเฉลี่ย 24,000 บาท (คือในข่าวบอกว่าราคาสูงขึ้นกว่าปีก่อน 19% ก็เลยใช้ตัวนี้)
หมายความว่า ตอนนี้ ขายได้เงิน 1.68 แสนล้านบาท
จากที่จะขาย 10 ล้าน ขาย 7 ล้านตัน ก็เหลือ 3 ล้านตัน
ถ้า 3 ล้านตันนี้ ขายได้เงินรวม 3.2 หมื่นล้านบาท หรือตันละ 11,000 บาท ก็ถือว่าได้เงินเท่าเดิม
ก็ถ้ารายละเอียดของข้อมูลไม่มีตัวแปรอะไรซ่อนอยู่ คิดแบบนี้ ก็ไม่น่ากังวลอะไร
ตัวแปรแรกที่ต้องรู้ก็คือ การแถลงข่าวตัวเลขต่าง ๆ พยายามพูดเป็นค่าเฉลี่ย คือรวมทั้งข้าวขาว กับข้าวหอมมะลิ ทั้ง ๆ ที่ตัวที่ขายลดลงนั้น เป็นข้าวขาวส่วนใหญ่ ซึ่งตรงนี้ก็ทำให้ค่าเฉลี่ยสูงขึ้นอยู่แล้ว
ตัวแปรที่สองก็คือ ต้นทุนค่าจัดเก็บข้าว ตีรวม ๆ ปีนึงต่อตัน ก็ 1,500-2,000 บาท ขายช้าไปปีนึง ก็ต้องบอกว่า จาก 11,000 บาท ก็ต้องขาย 12,500 บาท ถึงจะพอ
ตัวแปรที่สาม ต้นทุนการเงิน เงิน 3.2 หมื่นล้านที่ได้รับช้าไป 1 ปี ก็เป็นหนี้นานขึ้น ก็ต้องเสียดอกเบี้ยก้อนนี้
แล้วยังมีอย่างอื่นอีก ที่เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการไ่ม่ขายข้าวกองนี้
สมมติรวมทุกอย่าง จาก 11,000 บาท เพิ่มไปเป็นประมาณ 14,000 บาท
แต่ข้าวที่เหลือต้องขาย เป็นข้าวขาวเกือบทั้งหมด ราคาตลาดประมาณ 16,500 บาท
ก็ไม่รู้ว่า จะคุ้มค่ากับการเก็บอีก 1 ปี หรือไม่
เพราะมันจะไปกระทบกับราคาข้าวในปีต่อไปอีกอยู่ดี
เพราะปีนี้ขายน้อยไป 3 ล้านตัน ปีหน้าจะขายมากขึ้น หรือขายน้อยลงเหมือนเดิม
จากคุณ |
:
Lpg_Horse
|
เขียนเมื่อ |
:
18 ธ.ค. 55 17:15:16
A:110.171.132.154 X:
|
|
|
|
 |