แม้รัฐบาลจะหาทางออกเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยการทำ
ประชามติ เพื่อขอความเห็นชอบจากประชาชน ว่าควรจะให้มีการ
แก้ไขทั้งฉบับหรือไม่ ทั้งนี้ก็คงเป็นเพราะเกรงว่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ที่ศาลรัฐธรรมนูญให้คำแนะนำเอาไว้ว่า หากแก้ไขทั้งฉบับก็ต้องทำ
ประชามติเสียก่อน
อีกประเด็นก็คือ กลัวว่าจะเกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นมาอีก
ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งสิ้น รวมถึงเห็นว่าวิธีการนี้คงทำให้
การแก้ไขเดินหน้าต่อไปได้
ก็อย่างที่บอกไปแล้วว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นเป็นเรื่องใหญ่ที่
เกี่ยวข้องกับดุลอำนาจระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆในสังคมไทย
ที่มีอยู่หลายกลุ่มได้อำนาจมากขึ้นก็ชอบ เสียอำนาจไปก็ไม่ยอม
เหนืออื่นใด การที่รัฐบาลหาทางออกที่คิดว่าดีที่สุดแล้ว
แต่ก็ยังเกิดกระแสต่อต้านตามมาอีก ทั้งมีการเสนอความเห็นว่า
การทำประชามติครั้งนี้ถือว่าเป็นการขัดรัฐธรรมนูญ ม.165 (2)
ที่อนุญาตให้มีกฎหมายบัญญัติเป็นการเฉพาะ หมายถึง
กฎหมายระดับ พ.ร.บ.ไม่ใช่พระราชกฤษฎีกา
และยังขัด ม.165 (1) ที่อนุญาตให้ทำในเรื่องที่กระทบต่อ
ผลประโยชน์ได้เสียของประเทศหรือประชาชน แต่การแก้ไข
รัฐธรรมนูญเป็นการแก้ไขกลไกอำนาจอื่นๆ เพื่อเสริมอำนาจ
บริหาร จึงไม่สามารถกระทำได้
ครับ...ก็ว่ากันไป
แต่ถ้าว่ากันตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ที่ดำเนินการนั้นน่าจะเข้าข่ายที่ว่าในกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นว่า
กิจการในเรื่องใดอาจกระทบถึงประโยชน์ได้เสียของประเทศชาติ
หรือประชาชน นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของ
คณะรัฐมนตรีอาจปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธาน
วุฒิสภา เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีการออกเสียง
ประชามติได้
ถามว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นและทำให้เกิดปัญหา
ความขัดแย้งของคนในสังคมนั้น มันคือเรื่องที่กระทบประโยชน์
ได้เสียของประเทศชาติและประชาชนหรือไม่
อีกทั้งเกิดความแตกแยก ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร
รัฐบาลจึงต้องจัดให้มีการทำประชามติเพื่อสอบถามประชาชนจะ
เอายังไงดี สมควรที่จะอนุญาตให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่
คำตอบมันน่าจะอยู่ตรงนี้
จากนั้นก็จะเป็น คำถาม ที่จะให้ประชาชนในการทำประชามติ
น่าจะเป็นไปว่าเห็นชอบที่จะให้แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับโดยให้
ส.ส.ร. ยกร่างขึ้นมาใหม่
ถ้าเห็นชอบด้วยก็เดินหน้าต่อไป แต่ถ้าไม่เห็นชอบก็จบกันไป
สำหรับหลักเกณฑ์และวิธีการออกเสียงประชามติให้เป็นไปตาม
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ
ที่ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า ให้ยึดเสียงข้างมากจากผู้มาใช้สิทธิ์ออกเสียง
คงไม่ต้องถกเถียงกันว่าจะใช้เสียงแบบไหนมาวัดอย่างที่ถกเถียง
กันอยู่ก็คือ ใช้เสียงข้างมากจากผู้มีสิทธิ์ออกเสียงหรือผู้ไปใช้สิทธิ์
เมื่อยึดตามหลักเกณฑ์นี้แล้ว จากจำนวนตัวเลขประชาชนที่มีสิทธิ์ออก
เสียงเมื่อคราวทำประชามติการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 ปรากฏว่า
ผู้มีสิทธิ์ออกเสียง 46 ล้านคน กึ่งหนึ่งก็คือ 23 ล้านคน
แต่ถ้ายึดจากจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ 23 ล้านคน
กึ่งหนึ่งของ 23 ล้านคนขึ้นไปก็คือ 11.5 ล้านคน ตัวเลขออกมา
อย่างนี้รัฐบาลก็แฮปปี้ เพราะพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งด้วยเสียง
สนับสนุน 14 ล้านคน บวกกับเสียงจากพรรคร่วมรัฐบาลก็ลอยลำแน่
เหนืออื่นใด การทำประชามติที่จะเกิดขึ้นนั้น ประชาธิปัตย์เดินหน้า
คัดค้านอย่างเต็มที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่การที่
นายอภิสิทธิ์เคลื่อนไหวด้วยการออกจดหมายเปิดผนึกถึงประชาชน
ผ่านเฟซบุ๊ก เรียกร้องให้ร่วมมือกันคว่ำบาตร ประชามติ เพราะ
ไม่มีทางอื่นแล้ว
เตือนให้ระวังเอาไว้เถอะ...วิธีการอย่างนี้มันจะยุ่งกันไปทั้งพรรค.
สายล่อฟ้า
http://www.thairath.co.th/column/pol/gladai/314057
ปกติ "สายล่อฟ้า" อยู่คนละฝั่งกับรัฐบาล วันนี้ คงสุดจะทน
ปชป.แล้วต้องออกมาเบรคซะหน่อย ...
"ไทยรัฐ" ยอดขายสูง บทความย่อมมีอิทธิพลต่อคคห.ของปชช.
อย่าล้ำเส้นเดี๋ยวเจ็บลึก ...สายล่อฟ้า .... ไทยรัฐออนไลน์
