 |
27 พฤศจิกายน 2012
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทยพับลิก้ารายงานว่า คณะอนุกรรมาธิการเสริมสร้างธรรมาภิบาลด้านพลังงาน ในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาตรวจสอบเรื่องส่วนแบ่งรายได้ของรัฐจากสัมปทานปิโตรเลียม ที่มี น.ส.รสนา โตสิตระกูล เป็นประธานอนุ กมธ.ซึ่งเป็นการศึกษาธรรมาภิบาลในระบบพลังงานของประเทศภาค 3 และกมธ.เตรียมที่จะรายงานต่อที่ประชุมวุฒิสภาในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้ หากที่ประชุมวุฒิสภาเห็นชอบกับรายงานฉบับดังกล่าว ก็จะดำเนินการส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาข้อเสนอแนะต่อไป
การศึกษาและตรวจสอบกรณีส่วนแบ่งรายได้ของรัฐจากสัมปทานปิโตรเลียม เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ได้ออกประกาศเรื่องการให้สัมปทานการขุดเจาะแหล่งปิโตรเลียมในประเทศไทยครั้งที่ 21 ประกาศฉบับดังกล่าวได้ลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวัน 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555 โดยระบุพื้นที่ที่จะให้สัมปทานรวมจำนวน 22 แปลง ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 45,999 ตารางกิโลเมตร ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและในอ่าวไทยจำนวน 4 แปลง
กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลและมีหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของประเทศ ได้ชี้แจงต่อ กมธ.ศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาลว่า กระทรวงพลังงานยังไม่มีนโยบายทบทวนหรือเปลี่ยนแปลงผลตอบแทนที่รัฐได้รับจากการให้สัมปทานปิโตรเลียม ที่มีการแก้ไขส่วนแบ่งล่าสุดเมื่อปี 2532 และใช้อยู่ในสัมปทาน Thailand III (ไทยแลนด์ทรี) โดยยืนยันว่ายังเป็นผลตอบแทนที่เหมาะสม
พรบ.ปิโตรเลียมล้าหลัง ทำชาติเสียหาย
การเปิดสัมปทานรอบที่ 21 ในปี 2555 กระทรวงพลังงานจะยังคงเก็บค่าภาคหลวงในอัตราเดิมที่ร้อยละ 5-15 และภาษีปิโตรเลียมร้อยละ 50 แม้ว่าราคาน้ำมันดิบในปัจจุบันจะแตกต่างกันมากเมื่อเทียบกับปี 2532 ซึ่งน้ำมันดิบในขณะนั้นมีราคาเพียง 18 เหรียญต่อบาร์เรล แต่ในปัจจุบัน น้ำมันดิบมีราคาสูงถึง 80-120 เหรียญต่อบาร์เรล การที่กระทรวงพลังงานยืนยันว่าจะไม่มีการปรับปรุงส่วนแบ่งให้เหมาะสมกับยุคสมัย จะทำให้ประเทศชาติได้รับความเสียหายอย่างมหาศาล
ภายหลังที่ประชาชนทราบถึงนโยบายการให้สัมปทานรอบใหม่ โดยไม่มีการแก้ไขส่วนแบ่งให้มีความเป็นธรรมนี้ ก็เกิดกระแสต่อต้านคัดค้านและเรียกร้องให้รัฐบาลชะลอการให้สัมปทานครั้งที่ 21 ออกไปก่อน จนกว่าจะมีการทบทวนเพื่อแก้ไขส่วนแบ่งให้รัฐได้รับผลประโยชน์จากการให้สัมปทานปิโตรเลียมที่สูงขึ้นกว่าในปัจจุบัน
กมธ.ศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา จึงมอบหมายให้คณะอนุ กมธ.เสริมสร้างธรรมาภิบาลด้านพลังงาน เร่งตรวจสอบและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสัมปทานปิโตรเลียมและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเร่งด่วน พร้อมกับเสนอแนวทางการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับว่าด้วยการเก็บสัมปทานปิโตรเลียมให้ก้าวทันต่อยุคสมัย และสอดคล้องกับราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในรอบทศวรรษที่ผ่านมา เพื่อปกป้องและรักษาผลประโยชน์ของประเทศให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
โดยอนุ กมธ. ได้ศึกษาและรวบรวมข้อมูลในแง่มุมต่าง ๆ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยการเชิญหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบ เอกชน บุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ศึกษา มาให้ข้อมูลและความเห็น รวมถึงการศึกษาจากแหล่งข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ของหน่วยงานราชการและเอกชนที่เกี่ยวข้อง
อนุกมธ.ลงพื้นที่สำรวจการขุดเจาะปิโตรเลียมเขตทวีวัฒนา กทม. โดยมีอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเป็นผู้ชี้แจง ที่มาภาพ : bangkokbiznews.com จากการศึกษาพบว่า ประเทศไทยเริ่มมีการสำรวจหาแหล่งปิโตรเลียมครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2464 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ทรงว่าจ้างนักธรณีวิทยาชาวอเมริกันมาสำรวจเฉพาะส่วนบนบก ทำให้ค้นพบพื้นที่ที่มีน้ำมันหลายแหล่ง ทั้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ การผลิตปิโตรเลียมจากแหล่งดังกล่าว เช่น ที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ยังคงมีต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ยุคใหม่ของการสำรวจปิโตรเลียมเริ่มขึ้นเมื่อรัฐบาลอนุญาตให้บริษัทเอกชนเข้ามาสำรวจและผลิตปิโตรเลียมภายใต้พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 และเพื่อให้การประกอบกิจการปิโตรเลียมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 และพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 เพื่อเป็นกฎหมายหลักในการควบคุมการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของผู้รับสัมปทาน ต่อมา สมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เทคโนโลยีการสำรวจแหล่งปิโตรเลียมก้าวหน้าไปกว่าสมัยแรก ๆ ทำให้สามารถขยายการสำรวจจากแหล่งบนบกไปสู่แหล่งในทะเลได้ และทำให้ค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบในอ่าวไทย ที่มีศักยภาพสูงและมีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยค้นพบมา
กระทรวงพลังงานหมกเม็ดข้อมูลนำเข้าน้ำมันดิบเพื่อการส่งออก-วัตถุดิบปิโตรเคมี
การค้นพบในยุคนี้กลายเป็นจุดกำเนิดยุคทองของแหล่งพลังงานปิโตรเลียมในประเทศไทย รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณจำนวนมากโดยมอบหมายให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ซึ่งในขณะนั้นเป็นรัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน ให้ทำหน้าที่การวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อการนำก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นทรัพยากรของประชาชนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศเป็นครั้งแรกในวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2524
ตั้งแต่ พ.ศ. 2515 จนถึง พ.ศ. 2555 ประเทศไทยมีการขุดเจาะสำรวจแหล่งปิโตรเลียมทางทะเลและบนบกรวมทั้งหมด 852 หลุม และมีหลุมที่พัฒนาเพื่อผลิตปิโตรเลียมทั้งก๊าซธรรมชาติ คอนเดนเสท และน้ำมันดิบสำหรับจำหน่ายเชิงพาณิชย์ รวม 4,804 หลุม กระทรวงพลังงานได้เผยแพร่ในเว็บไซต์ว่า ประเทศไทยสามารถขุดเจาะและผลิตก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบ คอนเดนเสท และก๊าซโซลีนธรรมชาติในปี 2555 ในปริมาณเทียบเท่าน้ำมันดิบคือประมาณวันละ 968,000 บาร์เรล หรือ 153 ล้านลิตรต่อวัน
นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานได้รายงานว่า ประเทศไทยมีการส่งออกน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปสูงถึง 300,000 บาร์เรลต่อวัน เฉพาะเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ไทยส่งออกน้ำมันดิบ 1.8 ล้านบาร์เรล หรือประมาณ 300 ล้านลิตร และคาดว่าปี 2555 ไทยจะส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปได้ถึง 75 ล้านบาร์เรล หรือ 11,925 ล้านลิตร
โดยที่กระทรวงพลังงานให้ข้อมูลต่อสาธารณชนว่าประเทศไทยมีพลังงานน้อยมาก เป็นประเทศที่ต้องพึ่งพิงการนำเข้าพลังงาน แต่ไม่ได้ให้ข้อมูลอย่างครบถ้วนว่าปิโตรเลียมที่นำเข้านั้นมีจำนวนหนึ่งเป็นการนำเข้าเพื่อ
1. กลั่นแล้วส่งออกเป็นน้ำมันสำเร็จรูป
2. ชดเชยปิโตรเลียมที่ขุดได้จากในประเทศแล้วนำไปใช้เป็นวัตถุดิบของธุรกิจปิโตรเคมี
3. เป็นปิโตรเลียมที่นำเข้าเพื่อชดเชยปิโตรเลียมทั้งก๊าซและน้ำมันดิบที่ขุดได้จากในประเทศที่มีการส่งออก
http://thaipublica.org/2012/11/thai-energy-4/
จากคุณ |
:
เบค่อนไข่ดาว
|
เขียนเมื่อ |
:
20 ธ.ค. 55 13:03:23
A:203.156.142.33 X:
|
|
|
|
 |