พฤติกรรมเชิงลบ จมวิกฤติศรัทธา.......ส.ส.และ ส.ว.ต้องทบทวนบทบาทการทำหน้าที่ของตัวเอง
|
|
พฤติกรรมเชิงลบ จมวิกฤติศรัทธา
ตรวจการบ้าน “รัฐสภา” เวทีแก้ปัญหาประชาชน
ปฏิทินเวลาล่วงเข้าสู่ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี
เข้าสู่ห้วงสัปดาห์แห่งความสุขสันต์ กลิ่นอายบรรยากาศการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาส และเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ อบอวลไปทั่ว
ผู้คนทั้งประเทศเตรียมตัวเข้าสู่โหมดของความสนุกสนานรื่นเริง
แต่ขณะเดียวกัน เมื่อหันมาที่ปฏิทินทางการเมือง ก็ปรากฏว่า ได้มีการเปิดสมัยประชุมรัฐสภา สมัยสามัญนิติบัญญัติ ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2555
ซึ่งตรงกับวันสิ้นโลก ตามความเชื่อเรื่องปฏิทินของชนเผ่ามายา
แต่เมื่อโลกไม่แตกสลายไป อย่างที่มีกระแสตื่นกลัว การดำเนินชีวิตของมนุษย์โลกก็ยังต้องดำเนินต่อไป กระบวนการทุกอย่างก็ยังต้องขับเคลื่อนไปตามปกติ
สำหรับการเปิดเทอมสภาฯ สมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ
ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม เป็นต้นไป รวมระยะเวลา 120 วัน
รัฐธรรมนูญมีเจตนารมณ์ให้รัฐสภาในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติได้ปฏิบัติหน้าที่ในการพิจารณาออกกฎหมายที่สำคัญจำเป็น
ต่อการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติและประชาชน
จึงได้บัญญัติให้สมัยประชุมรัฐสภาสมัยสามัญนิติบัญญัติ เป็นช่วงแห่งการพิจารณาร่างกฎหมายเป็นการเฉพาะ
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญมาตรา 127 ได้กำหนดให้ปีหนึ่งมีสมัยประชุมสามัญทั่วไป และสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ โดยสมัยประชุมสามัญของรัฐสภาสมัยหนึ่งๆให้มีกำหนดเวลา 120 วัน
และในสมัยสามัญนิติบัญญัติให้รัฐสภาดำเนินการประชุมได้เฉพาะกรณีที่บัญญัติไว้ในหมวดพระมหากษัตริย์
การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ หรือร่าง พ.ร.บ. การอนุมัติพระราชกำหนด
การประกาศความเห็นชอบในการประกาศสงคราม การรับฟังคำชี้แจง และการให้ความเห็นชอบหนังสือสัญญา
การเลือกหรือการให้ความเห็นชอบให้บุคคลดำรงตำแหน่ง การถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง การตั้งกระทู้ถาม และการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
เว้นแต่รัฐสภาจะมีมติให้พิจารณาเรื่องอื่นใดด้วยคะแนน เสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้ง 2 สภา
ด้วยหลักเกณฑ์ดังกล่าว จึงแทบไม่มีโอกาสที่ฝ่ายค้านจะยื่นญัตติอื่นๆ หรือญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ เข้าสู่การพิจารณาของ สภาฯได้ เพราะคะแนนเสียงไม่ถึงเกณฑ์
อย่างดีก็ทำได้ก็แค่การตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี
การเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญนิติบัญญัติ จึงถือเป็นห้วงที่ฝ่ายรัฐบาลจะได้เสนอกฎหมายต่างๆ ที่มีความจำเป็นในการ บริหารราชการแก้ไขปัญหาของประเทศเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ เพื่อขับเคลื่อน ออกมาบังคับใช้
“ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ” จึงขอใช้โอกาสที่มีการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญนิติบัญญัติในครั้งนี้ ตรวจสอบการทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาตลอดปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ รัฐสภาในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ประกอบด้วยสภาผู้แทน ราษฎร และวุฒิสภา
สำหรับสภาผู้แทนราษฎร ในสมัยประชุมนิติบัญญัติตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2554 ถึง 14 มิถุนายน 2555 มีการประชุมสภาฯ 39 ครั้ง และมีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา 16 ครั้ง
โดยที่ประชุมสภาฯได้ให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ออกมา มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย 7 ฉบับ ร่าง พ.ร.บ.ที่คณะกรรมาธิการสภาฯพิจารณาแล้วเสร็จ 8 ฉบับ มีการพิจารณากระทู้ถาม 571 กระทู้
ส่วนในสมัยประชุมสามัญทั่วไป ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม ถึงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2555 มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร 35 ครั้ง และมีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา 3 ครั้ง
มีร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ 1 ฉบับ และการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. 85 ฉบับ โดยให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ออกมามีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย 11 ฉบับ
พิจารณากระทู้ถาม 224 กระทู้ พิจารณาญัตติ 10 ญัตติ อาทิ ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ
สำหรับวุฒิสภา ในการประชุมสมัยสามัญนิติบัญญัติ และสมัยสามัญทั่วไป ในรอบปีที่ผ่านมา
มีการอนุมัติพระราชกำหนดให้มีผลบังคับใช้เป็น พ.ร.บ. รวม 5 ฉบับ พิจารณาให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ออกมาเป็นกฎหมายบังคับใช้ รวม 20 ฉบับ
พิจารณาให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 8 เรื่อง พิจารณาเรื่องการถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง 1 เรื่อง พิจารณากระทู้ถามในสภาฯ รวม 69 กระทู้
ในภาพรวมก็ถือว่าฝ่ายนิติบัญญัติได้ทำหน้าที่ในการพิจารณาออกกฎหมายมาบังคับใช้ อยู่ในระดับพอใช้ได้
ถ้าการประชุมสภาฯ ไม่เสียเวลาไปกับปัญหาการประท้วง เล่นเกมการเมือง ชิงกระแส ชิงความได้เปรียบทางการเมือง
ผลงานในการออกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศน่าจะดีกว่านี้
เมื่อหันมามองทางด้านพฤติกรรมการทำหน้าที่ของ ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร ในรอบปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า มีภาพทางบวกปรากฏให้เห็นอยู่บ้าง อาทิ
การเข้าประชุมของ ส.ส.และเปิดประชุมสภาฯตรงเวลามากขึ้น
รวมถึงมีการขยายเวลาการประชุมสภาฯในวันพุธ และวันพฤหัสบดี ออกไปถึงช่วงค่ำ ซึ่งตรงนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า
เหตุผลหลักเป็นเพราะ ส.ส.ยุคนี้มีความขยันขันแข็ง ฟิตที่จะทำงานในสภาฯ
หรือเป็นเพราะต้องการเผื่อเวลาเอาไว้สำหรับการลุกขึ้นประท้วง ตีรวน เล่นเกมการเมืองกันระหว่างฝ่ายค้าน กับฝ่ายรัฐบาล ในระหว่างการอภิปรายแต่ละวัน
สำหรับภาพทางบวกที่ชัดเจนที่สุดในการทำงานของสภาฯในรอบปีที่ผ่านมา ก็คือ ในช่วงที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายก-รัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล
ต้องยอมรับว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ส.ส.ฝ่ายค้าน เตรียมทำการบ้านมาอย่างดี มีข้อมูลหลักฐานนำมาประกอบการอภิปรายชัดเจน
โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดของรัฐบาล ที่แฉให้เห็นถึงการทุจริตที่ทำเป็นขบวนการ
ขณะเดียวกันก็ยังใช้สื่อดิจิตอล โดยเฉพาะคลิปวีดิโอ คลิปเสียง มาแสดงประกอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ให้สมาชิกในสภาฯและผู้ติดตามชมการอภิปรายได้เห็นกันจะจะ
นอกจากนี้ยังมีการจัดตัวผู้อภิปรายโดยเน้นให้คนหาข้อมูลเป็นผู้อภิปรายเอง จัดลำดับข้อมูลได้ต่อเนื่องกัน ทำให้คนที่ฟังการอภิปรายเข้าใจได้ง่ายขึ้น
ในขณะที่ ส.ส.ฝ่ายค้านส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เปิดเกมตีรวนมากมายจนเลอะเทอะ มีเพียงบางคนที่ชอบทำตัวเป็นจอมประท้วง หวังโชว์หน้าโชว์ตัวออกจอทีวี
สรุปแล้วในการอภิปรายไม่ไว้วางใจคราวนี้ ภาพรวมคนฟังได้เนื้อหาสาระ ได้ประโยชน์ มากกว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านๆมา
ขณะเดียวกัน ถ้ามองพฤติกรรมในทางลบของ ส.ส.ในรอบปีนี้ ก็ต้องยอมรับว่า ยังอยู่ในสภาพที่สังคมส่ายหน้า
สะท้อนจากการสำรวจโพลทุกสำนักยังให้น้ำหนักไปที่เรื่องความเบื่อหน่ายการแสดงออกของ ส.ส.ที่มักใช้เวลาของการประชุมสภาฯเล่นเกมการเมือง ตีรวน ทะเลาะเบาะแว้ง ด่าทอ
แบ่งขั้ว แบ่งฝ่าย เล่นสงครามน้ำลายกันไม่เลิกรา
ทั้งๆที่การปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ที่เป็นสากลนั้น ถือว่าสภาฯคือที่รวมของผู้แทนปวงชน
เป็นเวทีในการแก้ไขปัญหาให้ประชาชนและประเทศชาติ
แต่สำหรับบ้านเราเมื่อมีปัญหานำเข้าไปถกเถียงกันในสภาฯ แทนที่จะเป็นหนทางแก้ปัญหา กลับกลายเป็นการเพิ่มปัญหา เพิ่มความขัดแย้ง
จนกลายเป็นเหตุให้ความขัดแย้งทางการเมืองไหลออกไปนอกสภาฯ เกิดปัญหาก่อม็อบชุมนุม เคลื่อนไหว ขยายความขัดแย้ง ชุลมุนวุ่นวาย จนเกิดการเผชิญหน้าปะทะรุนแรงก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
นอกจากนี้ การทำงานของคณะกรรมาธิการสภาฯชุดต่างๆ ก็มักเน้นไปที่ประเด็นการเมือง มุ่งตรวจสอบฝ่ายตรงข้ามเป็นหลัก
คณะกรรมาธิการจึงถูกมองว่าเป็นแค่เครื่องมือทางการเมือง ไม่ได้ทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติที่จะต้องตรวจสอบฝ่ายบริหาร
ขณะเดียวกัน การใช้งบฯเพื่อไปทัวร์ต่างประเทศ โดยอ้างเป็นการเดินทางไปศึกษาดูงาน คณะกรรมาธิการแต่ละชุดผลาญงบฯปีละ 2–3 ล้าน ก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในปีนี้ ประธานสภาฯก็ยังนำทีมไปเองจนเป็นข่าวใหญ่โต
ส่วนปัญหาสภาฯล่มเพราะ ส.ส.หลังยาว ในปีนี้ ลดความถี่ลงไป แต่ก็ใช่ว่าเป็นเพราะ ส.ส.ขยัน มีความรับผิดชอบมากขึ้น
แต่ที่สถิติสภาฯล่มน้อยลง ก็เนื่องมาจากผู้ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมใช้แท็กติกใหม่ ถ้าสถานการณ์บ่งชี้ว่าจะมีการขอนับองค์ประชุม
ถ้าประเมินว่ามี ส.ส.อยู่น้อยไม่ครบองค์ประชุม ก็ชิงสั่งปิดประชุมซะก่อน โดยไม่ต้องรอให้ฝ่ายค้านขอนับองค์ประชุม
พูดง่ายๆว่าแก้ปัญหาสภาฯล่ม ด้วยการชิงปิดประชุม
สำหรับทางด้านวุฒิสภานั้น แม้ได้ชื่อว่าเป็นสภาพี่เลี้ยง หรือสภาผู้ทรงคุณวุฒิ แต่ภาพรวมในการทำงานในรอบปีที่ผ่านมา
ปรากฏว่ามีสภาพไม่ได้แตกต่างไปจากสภาผู้แทนราษฎรมากนัก เพราะมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันชัดเจน อย่าง ส.ว.เลือกตั้ง แม้ไม่ได้สังกัดพรรค แต่การทำงานก็มักไปแอบอิงอยู่กับพรรค การเมืองที่หนุนหลังให้ได้รับการเลือกตั้ง
ขณะที่ ส.ว.สรรหา แนวทางการทำงานก็ไปยึดโยงอยู่กับกลุ่มอำนาจที่แต่งตั้งให้เข้ามาเป็น ส.ว.
ทำให้ภาพการทำงานของ ส.ว.หนีไม่พ้นจากวังวนการเมือง 2 ขั้ว แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไม่มีเอกภาพ ยกเว้นถ้ามีผลประโยชน์ร่วมกันถึงจะร่วมมือกันได้
มาถึงวันนี้ เริ่มเปิดสมัยประชุมรัฐสภา สมัยสามัญนิติบัญญัติอีกครั้ง ส.ส.และ ส.ว.ต้องทบทวนบทบาทการทำหน้าที่ของตัวเอง
อย่าให้พฤติกรรมด้านลบฉุดจมวิกฤติศรัทธา.
“ทีมการเมือง”
ไทยรัฐออนไลน์
โดย ทีมข่าวการเมือง 23 ธันวาคม 2555, 05:03 น.
จากคุณ |
:
น้ำมิตร
|
เขียนเมื่อ |
:
23 ธ.ค. 55 21:05:15
A:110.168.238.18 X:
|
|
|
|