ขอแสดงความเห็นต่างจากจขกท.นะครับ เอาแบบไปทีละข้อ (บางข้ออาจจะดำน้ำไปนะครับ เพราะไม่ได้หาข้อมูลประกอบ)
1.สินค้า OTOP ส่วนใหญ่ก็เป็นสินค้าทางเลือกอยู่แล้ว เพราะว่าไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าที่ผลิตแบบ mass ได้ และถ้าอยากจะแข่งขันกันจริง ก็คงต้องมีกระบวนการผลิตที่ลดค่าใช้จ่ายมากกว่านี้ ถึงจะสามารถแข่งในตลาดเดียวกันได้
2.เรื่องหมอเปิดคลีนิค มันก็เป็นทางเลือกอยู่แล้ว ตรงนี้รายได้ลดมั้ย ผมว่า ความเห็นจขกท.จะขัดกับข้อล่าง ๆ เหมือนกัน เพราะว่า บอกว่าคนมีเงินมากขึ้น ก็คงพร้อมจ่ายเงินหาหมอคลีนิคมากกว่าไปต่อคิวรับบริการในโครงการ 30 บาท
3.ข้อนี้ยิ่งตลกไปใหญ่ เหมือนจะบอกว่า พอรวยขึ้น เลิกกินแม่โขง แสงโสม ไปกินเหล้านอกเหรอครับ ถึงผมไม่ได้ซื้อเหล้าเองมาหลายปีแล้ว แต่ผมว่า ราคาเหล้านอกบางยี่ห้อ ถูกกว่าเหล้าไทยอีกนะครับ
แต่ถ้าจะเทียบกับเหล้าขาว เหล้าโรง อันนี้ผมว่า ก็กลุ่มธุรกิจเดียวกัน ไม่มีปัญหาเรื่องแย่งลูกค้าแน่ ๆ
4.อันนี้ถ้าสังเกตข่าวนะครับ ค่าแรง 300 บาท คนที่ได้รับผลกระทบ ก็จะเป็นนักธุรกิจรายย่อยทั้งหลายแหละครับ เพราะธุรกิจใหญ่ มีความสามารถในการแข่งขันสูงกว่า รายย่อยได้เปรียบจากธุรกิจใหญ่ ก็ตรงค่าแรงนี่แหละครับ จ้างคนในพื้นที่ คนงานไม่ต้องเสียค่าเช่าบ้าน ก็พอรับค่าแรงถูกได้ ทำให้ธุรกิจรายย่อยพอแข่งขันได้
พอบังคับ 300 บาท หมด อันนี้ก็เลยทำให้รายย่อยลำบากมากขึ้น ไม่มีหรอกครับ ที่รายย่อยจะให้ค่าแรงดีกว่ารายใหญ่ (ในธุรกิจสาขาเดียวกัน)
5.ตกลงตอนเป็นคนจน เช่าที่ดินกางเต้นท์นอนเหรอครับ ผมนึกว่าเช่าบ้านเช่าหอพักอยู่กัน
ที่ดินที่พูดว่า จะซื้อ ไม่ใช่ว่าจะหากันง่าย ๆ นะครับ ยิ่งอยู่ในทำเลที่ดี คนอยากมีบ้านบางทีก็ต้องไปซื้อไกล แต่ที่พักที่ทำเลดี ยังไงก็มีคนเช่าอยู่แล้ว แต่มันก็เป็นไปตามกลไกตลาด เพราะมีคู่แข่งรายใหม่เกิดขึ้นเรื่อย ๆ คงไม่ใช่ว่า พอคนรวยแล้ว ทำให้คนให้เช่าบ้านจะหมดรายได้ เพราะก็จะมีรายใหม่มาเช่าอยู่ เป็นวัฎจักรไป
6.การเป็นคู่แข่งรายใหม่เข้าสู่ธุรกิจ มันก็เป็นปกติของการแข่งขันในตลาดเสรีอยู่แล้ว สินค้าอะไรที่กำไรดี ก็จะมีคนใหม่เข้ามาแข่งขัน ถ้าหากสินค้าไหนไม่มีคู่แข่ง ก็เป็นไปได้ว่า ไม่มีความจูงใจในการทำธุรกิจก็ได้
ไ่ม่ใช่คนพอรวยแล้ว ก็อยากจะลงทุนทำโน้นทำนี่ แบบไม่ต้องศึกษาตลาดก่อน เพราะเข้าสู่ตลาดแบบไม่คิดให้รอบคอบ พอลงทุนเสร็จ เริ่มผลิตสินค้า เจอเจ้าตลาดทุ่มตลาด คนเข้าใหม่ก็หาลูกค้าไม่ได้ ก็พังอยู่ดี
7.อันนี้ต้องยกตัวอย่างนะครับ เพราะผมก็นึกไม่ออกเหมือนกัน อะไรที่ทำให้คนมีรายได้สูงขึ้น ตาสว่างได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับตอนมีรายได้น้อย
ตอนจนอยู่ ไม่มีโทรทัศน์ดู เลยไม่รู้ข่าวสารอะไร พอมีเงินซื้อโทรทัศน์ ได้ดูช่องสีแดง สีฟ้า ก็เลยรู้อะไรมากขึ้น แบบนี้เหรอครับ
8.อันนี้ก็ไม่สมเหตุสมผล เพราะพอมีรายได้มากขึ้น ก็จะกลายเป็นคนมีการศึกษาทันทีเลยเหรอครับ แล้วตอนรายได้น้อย คิดอ่านไม่ฉลาดแบบนั้นเหรอครับ
9.ตอนที่คุณทักษิณเข้ามาทำ คนก็ให้โอกาสทั้งนั้นแหละครับ ถ้าหากคนมีรายได้มากขึ้น มีความรู้มากขึ้นจริง การต่อต้านน่าจะมีต่อนักการเมืองที่ทุจริต ไม่ใช่ว่าพอมีเงินมากขึ้น ความรู้มากขึ้น ก็จะต่อต้านอำมาตย์ ต้องบอกว่า ต่อต้านนักการเมืองทุจริตมากกว่า
ทีนี้ก็คงต้องมองว่า คุณทักษิณทุจริตมั้ย ถ้าหากไม่ทุจริต ก็คงไม่มีใครไปต่อต้าน แต่ถ้าทุจริต คนมีความรู้ของจขกท. ควรจะต่อต้านหรือป่าว
หรือจะมองว่า เพราะคุณทักษิณมอบโอกาสให้ เลยให้คุณทักษิณทุจริตได้เสรี อย่างนั้นเหรอครับ
ความเลวร้ายต่าง ๆ ของทักษิณ ไม่ใช่เรื่องอุปโลกน์ขึ้นหรอกครับ เป็นเรื่องที่มีเหตุมีผล มีเรื่องราวความเป็นมา แค่คำถามแรกตั้งแต่วันตั้งพรรคไทยรักไทย ที่ว่า ถ้าหากบริสุทธิ์ใจจริง ทำไมต้องซุกหุ้นในชื่อคนขับรถ คนรับใช้ด้วย
จุดนี้ก็ยังไม่มีคำตอบที่สมเหตุสมผล
ดังนั้น ถึงแม้ว่า คนอื่นจะโง่กว่าคุณทักษิณ บริหารประเทศไม่เก่งเท่าคุณทักษิณ หรือทุจริตมากกว่าคุณทักษิณก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะนำมาอ้างว่า คุณทักษิณโดนกลั่นแกล้ง โดนใส่ร้ายหรอกครับ เพราะมันเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น
จากคุณ |
:
Lpg_Horse
|
เขียนเมื่อ |
:
25 ธ.ค. 55 18:40:54
A:110.171.132.154 X:
|
|
|
|