คอลัมน์ชกคาดเชือก มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ 21-27 ธันวาคม 2555
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติชุดปัจจุบัน นับเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ
ที่เสมอต้นเสมอปลายมากที่สุด คือ ไม่เคยมีอะไรที่ได้รับคำชื่นชมจากสังคม
ส่วนใหญ่เลย
อาจกล่าวได้ว่า เป็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ที่ไม่เข้าใจคำว่าสิทธิมนุษยชน
เลยแม้แต่น้อย
เพราะหลายครั้งได้แสดงบทบาทเอียงข้างทางการเมือง ปกป้องชื่นชมกลุ่มคนหรือ
บุคคลที่ตัวเองเชื่อว่าเป็นคนดี โดยเอาสายตาความเชื่อของตัวเองเป็นเครื่องตัดสิน
ตัวผู้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนบางคน เป็นอดีตข้าราชการที่
^^วชาญด้านกฎหมายฝ่ายรัฐ มีปูมประวัติทำงานด้านใช้กฎหมายต่อประชาชน
ที่ถูกกล่าวหาว่าทำผิดกฎหมาย
อาจจะเป็นคนดี คนซื่อสัตย์ แต่โดยเส้นทางตลอดชีวิตการงาน ไม่มีอะไรที่บอก
เลยว่ามีความเข้าใจความหมายของสิทธิมนุษยชน
จึงเป็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ที่คิดว่าตนเองจะรักษาความถูกต้องทาง
การเมือง รักษาความถูกต้องของกฎหมาย
ทั้งที่หน้าที่เหล่านี้มีองค์กรอื่นทำอยู่แล้ว
ไม่ใช่งานในหน้าที่ของนักสิทธิมนุษยชนเลย!
ในเหตุการณ์ความรุนแรงในบ้านเมือง ที่มีประชาชนล้มตายมากที่สุดใน
ประวัติศาสตร์ 99 ราย เราจะพบว่าคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องสิทธิของมนุษย์ในเหตุการณ์นี้เลย
เข้าใจว่าคงคิดแต่จะปกป้องฝ่ายรัฐบาลขณะนั้น ที่กรรมการสิทธิเชื่อเอง
ว่าเป็นคนดี
กรรมการสิทธิคงเชื่อตามคำพูดของนายกฯ ขณะนั้น ที่ว่า จำเป็นต้องใช้
กระสุนจริง เพราะผู้ชุมนุมมีกองกำลังอาวุธ
แต่กรรมการสิทธิไม่เคยตระหนกตกใจเลยว่า คนตายทั้ง 99 คนนั้น ไม่มีใคร
แม้แต่รายเดียวที่เข้าข่ายเป็นพวกกองกำลังติดอาวุธ ตามที่รัฐบาลอ้างเป็น
เหตุผลให้ใช้กระสุนจริง
แค่ใช้กระสุนจริงกับผู้ชุมนุมทางการเมือง โดยจิตวิญญาณของกรรมการสิทธิต้องคัด
ค้านต่อต้านในทันทีแล้ว ถ้าจะอ้างว่าฝ่ายม็อบมีอาวุธ กรรมการสิทธิต้องเรียกร้องให้
รัฐบาลพิสูจน์ด้วยพยานหลักฐานที่ชัดเจน
แต่นี่เฉยๆ เห็นคลิปแวบๆ ก็เชื่อไปตามนั้น
ที่สำคัญ กรรมการสิทธิหอบช่อดอกไม้เดินเข้าไปยังศูนย์บัญชาการ ศอฉ.
ถ่ายรูปกันอย่างยิ้มแย้มมีความสุข
ครั้นหลังเหตุการณ์ผ่านไป การตรวจสอบโดยคณะพนักงานสอบสวนของตำรวจ
และดีเอสไอ ยังไม่ปรากฏพยานหลักฐานใดๆ เลยที่ยืนยันได้ชัดเจนว่า ชายชุดดำ
ที่เห็นไม่กี่วินาทีนั้นเป็นใคร มาจากไหน และทำให้ใครบาดเจ็บล้มตายจริงหรือไม่
แต่มีการไต่สวนชันสูตรศพในชั้นศาลหลายศพ โดยมีคำสั่งศาลชี้ว่า เป็นประชาชน
ที่ตายด้วยกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งปฏิบัติตามคำสั่ง ศอฉ.
ในเบื้องต้นเป็นที่แน่ชัดว่าทั้ง 99 ศพ ที่ถูกยิงตายนั้น ไม่มีใครเป็นผู้ก่อการร้าย
ชายชุดดำ ไม่มีศพไหนที่มีอาวุธในมือเลย
ในชั้นศาล ได้ชี้แล้ว 3-4 ศพ ว่าตายเพราะถูกปืนเจ้าหน้าที่ และขณะถูกยิงไม่มี
ชายชุดดำ ไม่มีกองกำลังอื่น รวมทั้งผู้ตายมีชื่อเสียงเรียงนาม มีประวัติเป็นมนุษย์
ปกติ มือเปล่า
บางรายมีหนังสติ๊ก บางรายมีกล้องถ่ายวิดีโอในมือ!
เมื่อไม่นานมานี้ คณะกรรมการสิทธิจัดงานมอบรางวัลเนื่องใน
วันสิทธิมนุษยชนสากล ทำเอาคนฮากันทั้งเมือง เพราะให้รางวัลกับบุคคล
ที่มีความเชื่อทางการเมืองไปในทางเดียวกันกับที่กรรมการสิทธิเชื่อ
บางราย วางตัวเป็นคนดีคนดัง แต่ภาระหน้าที่ปัจจุบันคือทำงานด้านความมั่นคง
แน่นอนว่าก็คงทำงานด้านความมั่นคงอย่างจริงจังน่าชื่นชม สมควรได้รางวัล
จากหน่วยงานความมั่นคง
แต่กลับได้รางวัลด้านสิทธิมนุษยชน โดยไม่เคยไปตรวจสอบในพื้นที่เลย ว่าภาระ
หน้าที่ของบุคคลนั้น ถูกวิจารณ์จากชาวบ้านว่า ได้ละเมิดสิทธิเขาอย่างรุนแรง
สงสัยอะไรก็เรียกตัวไปเก็บดีเอ็นเอ โดยไม่เต็มใจ!
มานั่งนึกๆ ดู เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ 99 ศพ ที่สร้างรอยด่างพร้อยให้
กรรมการสิทธิมากที่สุด
คนที่มีบทบาทเข้าข่ายควรยกย่องเชิดชูในฐานะนักสิทธิมนุษยชนในเหตุการณ์นี้มีอยู่
หลายคน
เช่น นายนิก นอสติชต์ นักข่าวชาวเยอรมัน ผู้ติดตามคืนพบความตายของ
นายชาญณรงค์ พลศรีลา คนขับแท็กซี่ผู้ร่วมการชุมนุมของเสื้อแดง
หลังเหตุการณ์นองเลือดจบลงไปไม่กี่สัปดาห์ ในวันที่ 17 มิถุนายน 2553
นายนิกได้เดินทางไปยัง สน.พญาไท ขอพบกับพนักงานสอบสวน เพื่อตาม
หาชายผู้ชุมนุมชาวเสื้อแดงที่ได้ถ่ายรูปทำข่าว ที่บริเวณแนวยางรถยนต์
ของม็อบ หน้าปั๊มน้ำมันเชลล์ ราชปรารภ
ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 นายนิกไปถ่ายรูปทำข่าวที่บริเวณดังกล่าว
โดยชายเสื้อแดงคนนั้นได้ทำท่ายิงหนังสติ๊กให้เขาถ่ายเอาไว้ โดยบอกว่า
นี่ไงอาวุธที่เอาไว้สู้กับทหาร
จากนั้นเหตุการณ์รุนแรงขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ระดมยิงใส่แนวยางรถยนต์ จนชาย
คนนั้นล้มลงจมกองเลือด แล้วเพื่อนๆ ก็ช่วยกันนำร่างถอยออกไปยังบ้านหลัง
หนึ่งเพื่อจะหลบซ่อน โดยที่นักข่าวจำนวนมาก รวมทั้งนายนิกหนีไปยังจุด
เดียวกันนั้น
ต่อมาเจ้าหน้าที่ทหารตามมาถึง แล้วลากร่างที่ถูกยิงจนบาดเจ็บสาหัสนั้นไป
หลังเหตุการณ์จบลง นายนิกจึงมาติดตามดูว่าชะตากรรมของชายคนนั้น
เป็นอย่างไร!?
เมื่อตำรวจ สน.พญาไท นำภาพถ่ายคนตายในเหตุการณ์ดังกล่าวมาให้ดู
นายนิกถึงกังนิ่งอึ้ง เพราะหนึ่งในคนเสียชีวิตก็คือชายคนที่เขาตามมาหา
แล้วนายนิกได้ขอให้ปากคำพร้อมกับยืนยันจะเป็นพยานจนกว่าคดีนี้จะถึงที่สุด
จนล่าสุด ศาลได้มีคำสั่งแล้วว่า นายชาญณรงค์ พลศรีลา ตายด้วยการกระทำ
ของเจ้าหน้าที่
ในฐานะสื่อมวลชนภาคสนาม นายนิก นอสติชต์ เห็นเหตุการณ์ของนายชาญณรงค์
ตั้งแต่ก่อนถูกยิง จนกระทั่งถูกยิง แล้วด้วยจิตใจของคนรักความจริงอันเป็นจิตวิญญาณ
ของสื่อมวลชน และด้วยจิตใจห่วงใยเพื่อนมนุษย์ แม้จะไม่เคยรู้จักอะไรกันเลย
แต่อุตส่าห์ติดตามค้นหา จนกระทั่งพบว่าเป็น 1 ใน 99 ศพ เหยื่อความรุนแรง
จากปฏิบัติการอันเฉียบขาดมาดมั่นของ ศอฉ.
ไม่เท่านั้น เพื่อทวงถามความเป็นธรรมให้กับนายชาญณรงค์อย่างถึงที่สุด ยังได้เป็น
พยานปากเอก ในฐานะผู้เห็นเหตุการณ์ มีหลักฐานภาพถ่ายเป็นเครื่องยืนยัน
จิตใจและการกระทำอย่างนี้มิใช่หรือ ที่กรรมการสิทธิมนุษยชนต้องเรียนรู้ และต้อง
ทบทวนตัวเอง ว่าคนที่ควรมอบรางวัลให้ ต้องเป็นคนแบบนี้มากกว่า!
มองไปทางด้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลังจากถูกดีเอสไอแจ้งข้อหา
"ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล" แล้ว
นายอภิสิทธิ์ ได้ยืนกรานถึงความจำเป็นที่ต้องสั่งใช้กระสุนจริง เพราะมีกอง
กำลังติดอาวุธในม็อบ ทั้งที่การไต่สวนในชั้นศาลราว 36 สำนวน ยังไม่มีคดี
ไหนเลยที่พยานเห็นว่ามีกองกำลังชุดดำ
นายอภิสิทธิ์ตอบโต้การถูกตั้งข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าเป็นเกมการเมือง ต้องการ
บีบให้ร่วมนิรโทษกรรมให้กับคนคนเดียว
ทั้งที่การตั้งข้อหานั้น มาจากคำสั่งศาลในสำนวนไต่สวนศพที่ชี้ว่า
นายพัน คำกอง ตายเพราะกระสุนเจ้าหน้าที่ รวมทั้ง
นายชาญณรงค์ พลศรีลา นายชาติชาย ชาเหลา และรายอื่นๆ
นายอภิสิทธิ์ ตอบโต้ว่าโดนกลั่นแกล้ง โดยไม่เคยแสดงความรู้สึกรู้สากับ
3-4 ศพ ที่มีคำสั่งศาลระบุว่าตายเพราะเจ้าหน้าที่ ซึ่งปฏิบัติตามคำสั่ง ศอฉ.
โดยที่ นายอภิสิทธิ์ ยอมรับเองว่า ได้อนุญาตให้ใช้กระสุนจริง
เช่นนี้ น่าจะได้รับรางวัลจากคณะกรรมการสิทธิชุดนี้จริงๆ!
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1356454489&grpid=03&catid=&subcatid=