ความผิดอันฉกรรจ์ต่างๆ ของทักษิณที่คนบางกลุ่มไม่อาจที่จะยอมได้
1
เงินทุนสำรองของประเทศไทยมากเป็นประวัติการณ์ เป็นอันดับที่สิบสามของโลก
จากการที่เงินทุนสำรองของประเทศไทยร่อยหรอแทบหมดสิ้น
ในการต่อสู้ค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย
จำนวนเงินทุนสำรองก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ ปี
ตั้งแต่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยบริหารประเทศ ในปี 2544
จนประเทศไทยมีเงินทุนสำรองมากเป็นประวัติการณ์
เป็นอันดับสิบสามของโลกในสมัยรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์
2
รายได้ประชาชาติ (GDP) ของประเทศไทยสูงเป็นอันดับสามสิบเอ็ดของโลก
GDP ของประเทศไทยขยายตัวขึ้นทุกปี
จนขยายตัวมากเป็นประวัติการณ์
เป็นอันดับสามสิบเอ็ดของโลกในปี 2546
3
ใช้หนี้ IMF จนหมดสิ้น
จากผลการบริหารประเทศนับจากรัฐบาลพรรคการเมืองหนึ่งเป็นต้นมา
ที่ระดับฐานล่างของประเทศอ่อนแอ จนกระทั่งประเทศล้มพังพาบ
ประเทศไทยสูญเสียอธิปไตยทางเศรษฐกิจ
ต้องเข้าเป็นลูกหนี้ของ IMF
ประเทศไทยก็ได้รับการฟื้นฟูขึ้นเรื่อยๆ นับแต่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยบริหารประเทศ
จนกระทั่งสามารถใช้คืนหนี้ IMF จนหมดสิ้น
ข้อมูลจากรายงานสรุปของ IMF
จากวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ประเทศไทยต้องขอกู้เงินจาก IMF รวมเป็นเงิน 5.7 แสนล้านบาท
ชำระเป็นจำนวน 0.64 แสนล้านบาท โดยรัฐบาลชวนในปี 2543
ส่วนที่เหลือทั้งหมดจำนวน 5.06 แสนล้านบาท ชำระโดยรัฐบาลไทยรักไทย
ประเทศไทยชำระหนี้ IMF จนหมดในวันที่ 31 กรกฎาคม 2546
4
เศรษฐกิจของประเทศฟื้นฟูขึ้นจากวิกฤติ
อย่างไร ?
การเกื้อหนุนให้ประชากรทางเศรษฐกิจระดับรากหญ้ามีกำลังประกอบอาชีพ สามารถจับจ่ายใช้สอย
จะส่งผลต่อๆไปยังประชากรทางเศรษฐกิจที่อยู่ชั้นบนขึ้นไป
ทำนองนี้
ประชากรทางเศรษฐกิจระดับรากหญ้าซื้อของจากร้านค้า
ร้านค้าซื้อของจากเอเย่นต์
เอเย่นต์ซื้อของจากผู้ผลิต
ผู้ผลิตจ้างงานและซื้อวัตถุดิบจากประขากรระดับรากหญ้า
การเกื้อหนุนให้ชนชั้นรากหญ้ามีกำลังประกอบอาชีพ สามารถจับจ่ายใช้สอย
เป็นผลให้ชนชั้นทางเศรษฐกิจที่อยู่สูงขึ้นไปยิ่งมีรายได้มากกว่าเป็นทบเท่าทวี
เพราะว่าเงินที่จับจ่ายใช้สอยโดยจำนวนมากของประชากรระดับรากหญ้า
หมุนเวียนขึ้นไปสู่จำนวนน้อยของประชากรระดับสูงกว่า
ดังเช่น
ประชากรระดับรากหญ้ามี 8 คน
ประชากรระดับร้านค้ามี 4 คน
ประชากรระดับเอเย่นต์มี2 คน
ประชากรระดับผู้ผลิตมี 1 คน
และด้วยจำนวนประชากรที่มากกว่าอย่างยิ่ง
ชนชั้นรากหญ้าทางเศรษฐกิจเป็นผู้จ่ายภาษีจุนเจือประเทศ มากกว่าที่คนรวยจ่ายอย่างเทียบไม่ติด
ดังเช่น ในปี 2547 เงินที่นำมาพัฒนาประเทศ
เป็นภาษีจากชนชั้นรากหญ้าผ่านระบบภาษีมูลค่าเพิ่มและสรรพสามิต 6 แสนกว่าล้านบาท
ขณะที่เงินจากภาษีคนรวย 3 แสนกว่าล้านบาท
ข้อที่สำคัญยิ่งคือการที่รากหญ้าต้องมีกำลังประกอบอาชีพเองได้อย่างยั่งยืน
ไม่ใช่การได้รับอย่างต้องพึ่งพาไปตลอดทั้งสิ้น
5
ธนาคารโลก ยกฐานะประเทศไทย ขึ้นสู่ประเทศที่มีรายได้ประชาชาติต่อหัวอยู่ในระดับ ปานกลางระดับสูง
เนื่องจากหากนับย้อนหลังไปใน ช่วงทศวรรษ ที่ผ่านมา
นับตั้งแต่ปี 2544 ที่รัฐบาลไทยรักไทยเริ่มบริหารประเทศ
เศรษฐกิจของไทยเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งและอัตราความยากจนลดลงเป็นอย่างมาก
เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ
เพิ่มขึ้นในทุกๆ ปีตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทยบริหารประเทศ
จนเป็นอันดับที่ 13 ของโลกในสมัยรัฐบาลสมชาย
และคงอันดับที่ 13 ของโลกมาโดยตลอดจนปัจจุบัน
ดังนี้
33,048 ล้านดอลลาร์ ในปี 2544
38,924 ล้านดอลลาร์ ในปี 2545
42,148 ล้านดอลลาร์ ในปี 2546
49,832 ล้านดอลลาร์ ในปี 2547
52,066 ล้านดอลลาร์ ในปี 2548
66,985 ล้านดอลลาร์ ในปี 2549
87,455 ล้านดอลลาร์ ในปี 2550
111,008 ล้านดอลลาร์ในปี 2551
(เป็นอันดับที่ 13 ของโลกในสมัยรัฐบาลสมชาย)
138,418 ล้านดอลลาร์ ในปี 2552
172,129 ล้านดอลลาร์ ในปี 2553
(คงอันดับที่ 13 ของโลกมาโดยตลอด)
GDP Growth Rate
(อัตราการเติบโตของ ผลิตภัณฑ์ในประเทศเบื้องต้นซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของรายได้ประชาชาติ)
เพิ่มขึ้นในทุกๆ ปีตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทยบริหารประเทศ
จนสูงสุดในปี 2546 มีผลให้ค่า GDPของประเทศไทยเป็นอันดับโลกที่ 31
แต่เริ่มเปลี่ยนเป็นอัตราลดลง เมื่อเกิดการก่อกวนความสงบ จนกระทั่งแย่งชิงอำนาจการเมือง
เปลี่ยนเป็นลดลงทุกๆปีอย่างต่อเนื่องหลังจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
มีค่าติดลบในปี 2552 ในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์บริหารประเทศ
โดยที่ในปีต่อมา 2553 มีการพยายามหลอกลวงโดยบางสื่อ ว่าอัตราการเติบโตของ GDP พุ่ง
ให้เข้าใจสถานะเศรษฐกิจของประเทศผิดเพี้ยน ว่าเศรษฐกิจดี
แต่ประชาชนส่วนใหญ่โดยทั่วไปสัมผัสรับรู้ได้ด้วยตนเองว่าไม่ใช่
เพราะแท้จริงเป็นการพยายาม โงหัวขึ้นจากการทรุดของส่วนต่างๆ
ที่เกิดจากการพยายามดิ้นรนเอาตัวรอด
และเป็นการใช้เงินจากการเป็นหนี้มหาศาลที่ภาระหนักในดอกเบี้ยอยู่เบื้องหลัง
ดังนี้
2.2 % ในปี 2544
5.3 % ในปี 2545
7.1 % ในปี 2546
(สูงสุดในปี 2546 มีผลให้ค่า GDP ของประเทศไทยเป็นอันดับโลกที่ 31)
6.3 % ในปี 2547
4.6 % ในปี 2548
5.1 % ในปี 2549
(เปลี่ยนเป็นลดลงทุกๆปีอย่างต่อเนื่องหลังจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549)
4.9 % ในปี 2550
2.5 % ในปี 2551
-2.3 % ในปี 2552
(มีค่าติดลบในปี 2552 เมื่อรัฐบาลอภิสิทธิ์เข้าบริหารประเทศ)
7.8 % ในปี 2553
(เป็นการพยายาม โงหัวขึ้นจากการทรุดและดิ้นรนเอาตัวรอด และการใช้เงินมหาศาลที่กู้มา)
เปอร์เซ็นต์หนี้สาธารณะ
ลดลงในทุกๆปีตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทยบริหารประเทศ
หลังจากลดลงจนต่ำ ก็เปลี่ยนเป็นเพิ่มขึ้นในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์
ดังนี้
57.5 % ในปี 2544
55.1 % ในปี 2545
50.7 % ในปี 2546
49.5 % ในปี 2547
47.3 % ในปี 2548
42.0 % ในปี 2549
38.3 % ในปี 2550
37.3 % ในปี 2551
(หลังจากลดลงจนต่ำ ก็เปลี่ยนเป็นเพิ่มขึ้นในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์)
45.2 % ในปี 2552
44.1 % ในปี 2553
เงินคงคลัง
ภาษีที่เก็บมาจากประชาชน ที่ไม่ได้เอาไปใช้ จะเก็บเป็นเงินคงคลัง
สมัยรัฐบาลสมชาย ในเวลาที่ถูกรัฐบาลอภิสิทธิ์ตั้งรัฐบาลหลังจากการรัฐประหารขึ้นมาแทน
มีภาษีเก็บเป็นเงินคงคลัง 52,878 ล้านบาท
สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์เก็บภาษีจากประชาชนมาเก็บไว้โดยไม่ใช้ประโยชน์
เป็นเงินคงคลัง 301,044 ล้านบาท
แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์กลับกู้เงินมาใช้ ทำให้ต้องเสียดอกเบี้ยจำนวนมหาศาลโดยไม่จำเป็น
การกระทำเช่นนี้ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เป็นการไร้เดียงสาในการทำงาน หรือบริหารประเทศอย่างโง่เขลา
หรือกระทำเล่ห์เหลี่ยมฉ้อฉลจากดอกเบี้ยเงินกู้ หรือสูบเลือดประชาชนทั้งประเทศ หรือเป็นอย่างอื่นใดกันแน่ ?
6
องค์กรอนามัยโลกยกย่องประเทศไทยเป็นแบบอย่างแก่ทั่วโลก
ในการดำเนินนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค
เป็นการเอื้ออาทรค้ำจุนกันในสังคม จะเป็นสังคมที่แข็งแกร่ง
ร่วมกันสร้างชาติให้มั่นคงเป็นปึกแผ่น
7
ปราบปรามยาเสพติดที่แพร่ระบาดอย่างหนักจนสาบสูญแทบหมดสิ้น
รัฐบาลทักษิณปราบปรามยาเสพติดที่แพร่ระบาดอย่างหนักจนสาบสูญแทบหมดสิ้น
ที่ซึ่งกลับมาระบาดหนักอีกเมื่อพรรคการเมืองหนึ่งครองอำนาจหลังรัฐประหาร
8
แก้ไขเปลี่ยนแปลงระบบราชการและข้าราชการ
ระบบเจ้าขุนมูลนายที่ต้องเคารพกราบไหว้พินอบพิเทา ข้าราชการกดขี่ข่มเหงรีดไถเรียกรับสินบนประชาชน
ตลอดมาจากอดีตอันยาวนาน นับแต่พรรคการเมืองหนึ่งครองอำนาจทั้งอย่างเปิดเผยหรือแอบแฝงร่วมครองอำนาจ
ถูกเปลี่ยนให้เป็นข้าราชการบริการประทับใจ รวดเร็ว ฉับไว แก่ประชาชน
ที่ปรากฏให้สัมผัสความแตกต่างเปรียบเทียบได้จริงด้วยตัวของประชาชนเอง
ในยุคสมัยรัฐบาลทักษิณ
9
กวาดล้างอิทธิพลมาเฟียที่เรียกเก็บส่วยสถานบริการ บ่อน ซ่อง วินรถ วินมอเตอร์ไซค์
สถานบริการต่างๆถูกจัดระเบียบวินัย จัดระเบียบสังคม
วินรถ วินมอเตอร์ไซค์ ที่ถูกกดขี่
ต้องซื้อเสื้อวินตัวละหลายหมื่น ต้องจ่ายส่วยเป็นธรรมเนียมกิจวัตร
ถูกปลดแอก
การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนอย่างหนึ่ง เช่น
ตำรวจที่คอยตั้งด่านรีดไถ จนถึงกับสิงสู่ประจำที่ ยาวนานมาหลายสิบปี
ตามถนนออกต่างจังหวัดสายต่างๆ สาบสูญไป
ทำนองเดียวกับตามถนนสายต่างๆ ใน กทม.
เช่น ด่านดักรถที่มาจากเซ็นทรัลลาดพร้าวจะไปหมอชิต
กับข้อหาวิ่งทับเส้นแบ่งเลนที่คดโค้งไปมา
10
สยบหวยใต้ดิน และสลากกินแบ่งขายเกินราคา
อย่างชงัด ด้วยหวยบนดิน
นำเงินมหาศาลที่เป็นส่วนหนึ่งของน้ำเลี้ยงความชั่วร้ายในสังคม
มาเป็นทุนการศึกษาแก่ผู้ด้อยโอกาส
เป็นประโยชน์ต่อสังคม อย่างที่จะเป็นเท่าทวีต่อๆ ไปอย่างไม่รู้จบ
11
เข้มงวดงบทหาร ดำเนินการจัดซื้ออาวุธจากต่างประเทศโดยวิธีแลกเปลี่ยนกับสินค้าเกษตรของไทย
12
ดัชนี CPI มีค่าสูงสุด มีความสุจริตสูงสุด มีการทุจริตต่ำสุด
Corruption Peception Index-CPI เป็นค่าที่ตรวจสอบสำรวจการคอรัปชั่นในประเทศต่างๆ
โดยองค์กร Transparency International สนับสนุนโดย UN
ประเทศที่มี CPI ต่ำ จะมีความสุจริตต่ำ มีการทุจริตมาก
ประเทศที่มี CPI สูง จะมีความสุจริตสูง มีการทุจริตน้อย
ทุกครั้งที่พรรคการเมืองหนึ่งเข้าครองอำนาจเป็นรัฐบาล CPI จะตกต่ำลงเสมอ
และทุกครั้งที่พรรคการเมืองนี้หลุดจากอำนาจไม่ได้เป็นรัฐบาล CPI จะสูงขึ้นเสมอ
13
เปลี่ยนแปลงการเมืองไทย
อย่างน้อยที่สุดก็มีพรรคการเมืองที่ทำตามนโยบายที่หาเสียงเลือกตั้งไว้
ในวัยเด็ก ผมมีความคับข้องใจหลายเรื่อง
ดังเช่น
ประเทศไทยเป็นประเทศที่พลเมืองเกิดมาก็เป็นหนี้แล้วทุกคน
หนี้เฉลี่ยต่อคนนั้นเพิ่มขึ้นเสมอ เมื่อเวลาผ่านไป
เด็กทารกที่เกิดมาในรุ่นต่างๆจะเกิดมาพร้อมหนี้ติดตัวที่มากขึ้นในแต่ละรุ่น ทุกคน ทุกรุ่น
ประเทศไทยเป็นประเทศยากจน ด้อยพัฒนา
เศรษฐกิจของประเทศตกต่ำ ฝืดเคือง
สินค้ามักขึ้นราคาเพราะขาดตลาด
มีการกักตุนสินค้า
ยาเสพติดแพร่ระบาด
แทรกซึมอยู่ทุกหย่อมหญ้า
ข้าราชการกดขี่ประชาชน
รัฐวิสาหกิจต่างๆทรุดโทรม ขาดทุนสะสมดินพอกหางหมู หนี้สินรุงรัง
ซึ่งทราบความภายหลังว่ามีนายทหารยึดกุมตำแหน่งต่างๆเต็มไปหมดจนเป็นประเพณี
ดังเช่น ปตท. ในอดีต คือปั๊มสามทหาร จะมีสภาพคร่ำคร่าโดยทั่วไป ไม่จำเป็นจะไม่มีใครเลือกใช้บริการ
ในความรู้สึกนึกคิดที่เป็นไป สภาพความรู้สึกนึกคิดที่เป็นอยู่
สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงเสมอ เป็นความจริงของโลก
เหมือนความจริงเสมอที่ ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และดวงอาทิตย์ตกทางทิศตะวันตก
อย่างเป็นนิจนิรันดร์
แต่...ทั้งหมดนั้นเป็น Paradigm ของประเทศในช่วงเวลาหนึ่ง
ไม่ใช่ความจริงเสมอนิจนิรันดร์ของโลกนี้
ซึ่งขอเรียกว่า
ภาวะผีอำประเทศ
ตั้งแต่เริ่มมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง
ผมเลือกพรรคการเมืองเก่าแก่พรรคหนึ่งมาโดยตลอด
ไม่ใช่เพราะความนิยม หรือชื่นชมว่าจะมีคุณความดีใด
แต่ด้วยความอับจนไร้หนทางของประชาชนคนหนึ่ง
พรรคการเมืองที่ผมเลือกนั้นไม่เคยมีผลงานใดเป็นแก่นสาร
ไม่เคยทำผลงานตามนโยบายที่บอกไว้
เมื่อถึงเวลาเลือกตั้งก็จะประกาศนโยบายพอเป็นพิธี
เลือกตั้งผ่านไปแล้วก็ผ่านไป นโยบายที่บอกไว้ก็ถูกผ่านละเลยไปเช่นกัน
พรรคการเมืองอื่นที่มีอยู่ในเวลานั้นก็ไม่ต่างกัน แต่บ่อยครั้งที่โจ่งแจ้งอย่างไม่เกรงใจประชาชน
ส่วนพรรคการเมืองเก่าแก่นี้จะซ่อนเร้นพฤติกรรม และมีภาพของโฉมหน้าตนอยู่
แต่ก็สำเหนียกบางสิ่งจากพรรคการเมืองนี้ได้
ผมยังคงเลือกพรรคการเมืองเก่าแก่นี้มาโดยตลอด
ด้วยความหวังลมๆแล้งๆว่าแต่ละครั้งนั้นอาจจะดีขึ้นบ้างอย่างอับจนหนทางอื่นใด
ในอนาคตกาลข้างหน้าต่อไปจากนั้นอีกนาน จึงได้รู้ว่าทำไม
เบื้องหลังของคนบางกลุ่มคือตัวการ
ทำลายล้างนักการเมืองดีๆ
เพาะเลี้ยง สนับสนุน ช่วยเหลือนักการเมืองเลวๆ ให้พ้นผิดจากการกระทำชั่วต่างๆ
ร่วมกับการใช้กระบวนการล้างสมอง
เพื่อการยึดกุมอำนาจ แสวงผลประโยชน์
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ
การใช้รัฐธรรมนูญและกฎหมายต่างๆของคณะรัฐประหาร
การแต่งตั้งตำแหน่งต่างๆ ที่มีผลทางการเมืองและผลประโยชน์
การแต่งตั้ง สว. การแต่งตั้งตำแหน่งของหน่วยงานที่ลวงว่าอิสระ การแต่งตั้งตำแหน่งในรัฐวิสาหกิจและราชการ
คนบางกลุ่มพยายามใช้กระบวนการล้างสมอง สร้างภาพ สร้างสถานการณ์
ว่านักการเมืองนั้นล้วนแต่เลว หาดีไม่ได้ ทั้งสิ้น
เบื้องหลังคือตัวการทำลายล้างนักการเมืองดีๆ
และเพาะเลี้ยงสนับสนุนนักการเมืองเลวๆ
เพื่อการยึดกุมอำนาจแสวงผลประโยชน์
และกำกับควบคุมนักการเมืองให้เป็นมือเป็นเท้าของกลุ่มตนที่อยู่เบื้องหลัง
คือ
กลุ่มอภิสิทธิ์ชนที่กระทำตนเป็นปรสิต
ของประชาธิปไตย และของประเทศ ตลอดจนส่วนสำคัญๆ ต่างๆ ของประเทศตลอดมา
ขอเรียกว่า กลุ่มอภิปรสิตชน
ประชาธิปไตย คือ อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน
อภิปรสิตชนธิปไตย คือ อำนาจอธิปไตยเป็นของอภิปรสิตชน โดยอภิปรสิตชน เพื่ออภิปรสิตชน