แมลงวันในไร่ส้ม มติชนสุดสัปดาห์ 28 ธันวาคม 2555-3 มกราคม 2556
แวดวงสื่อประเทศไทย ปี พ.ศ.2555 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป หากมองใน
เชิงสรุป ถือเป็นอีกปีหนึ่งของความขัดแย้งภายในวงการ
เป็นความขัดแย้งในเรื่องแนวคิด และมาตรฐานการทำหน้าที่สื่อ
ขณะที่องค์กรสื่อเอง ยังไม่สามารถกำหนดจุดยืนและท่าทีที่
เหมาะสมได้ในสถานการณ์ต่างๆ
ปัญหาสำคัญของวงการสื่อ ได้แก่ การถูกแทรกแซงจากอำนาจภายนอก
ข้อเขียนของนักวิชาการอิสระทางด้านสื่อ ตลอดจนคอลัมนิสต์-นักเขียน
ที่จับตามองบทบาทสื่อ วิเคราะห์คล้ายๆ กันอยู่ประเด็นหนึ่งว่า ต้นเหตุ
ของความ "เป๋" ของสื่อไทยบางส่วน เป็นผลจากการถูกครอบงำโดยกลุ่ม
อำนาจที่มีบทบาททางการตั้งแต่หลังการรัฐประหารเมื่อปี 2549
นักวิชาการอย่าง พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ ถึงกับชี้ว่า สื่อไทยนั้นมือเปื้อน
เลือดไม่แพ้ฝ่ายอื่นๆ ในวิกฤตการเมืองที่มีประชาชนล้มตายมากมาย
รัฐประหารปี 2549 อาจจะดูผิดที่ผิดทาง และไม่ช่วยให้ผู้นำ
รัฐประหารได้ดีทางการเมืองอย่างจีรังยั่งยืน
แต่ความสำเร็จของการรัฐประหารหากมองจากมุมของผู้ก่อการรัฐประหาร
คือการสร้าง "เครือข่ายอำนาจ" ผ่านทางรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ยังทำหน้าที่
ต่อต้าน "ทักษิณ" อย่างแข็งขันมาจนปัจจุบัน
แม้ผู้นำรัฐประหาร อย่าง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน จะเกิดอาการ
"ตาสว่าง" และพยายามจะล้มรัฐธรรมนูญที่ตัวเองสร้างขึ้นมาเอง
แท้ๆ ก็ยังทำไม่สำเร็จ
หนึ่งใน "เครือข่าย" ที่คณะรัฐประหารและรัฐธรรมนูญ 2550 สร้างขึ้น
ก็คือเครือข่ายของสื่อมวลชนนี่เอง
ตอนรัฐประหาร 2549 สื่อไทยจำนวนมากรับไม่ได้กับท่าทีผู้นำ
ที่แข็งกร้าวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้น
แต่การรัฐประหาร 2549 ทำให้สถานการณ์พลิกไปอีก เนื่องจาก
สื่อจำนวนหนึ่ง เห็นว่าประเทศไทยกำลังก้าวเดินผิดทาง
แม้จะไม่ชอบทักษิณ แต่ก็รับไม่ได้ที่จะโค่นล้มกันด้วยวิธีการนอกระบบ
สื่อหลายสำนัก พยายามตีปี๊บโหมชื่นชมรัฐประหาร เสนอข่าวความ
น่ารักกุ๊กกิ๊กของการยึดอำนาจ มีเด็กนักเรียนไปถ่ายรูปกับรถถัง
ประชาชนนำดอกไม้ไปให้ นำโคโยตี้ไปเต้นให้ทหารชม
แต่ไม่ช่วยให้การรัฐประหารกลายเป็นความถูกต้องขึ้นมาได้
การแจกจ่ายตำแหน่งทางการเมือง ในสภานิติบัญญัติบ้าง
ในสภาร่างรัฐธรรมนูญบ้าง ให้กับบุคคลจากวงการสื่อ แม้
กระทั่งคนระดับ "ประธานสภาหนังสือพิมพ์" และนายกสมาคม
นักข่าวฯ ขณะนั้น ก็ยังเข้าไปอยู่ในวงจรนี้
ทำให้สื่อบางส่วนเทใจให้กับภารกิจต่อต้านทักษิณ และสนับสนุน
รัฐบาลหลังการรัฐประหารที่นำโดย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
และสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้เป็นรัฐบาลด้วยการสนับสนุน
ของกองทัพ แม้ไม่ได้เป็นพรรคอันดับ 1 จากการเลือกตั้งก็ตาม
กรณีดังกล่าว เป็นสาเหตุของวิกฤตการเมืองใหญ่ในเวลาต่อมา
เมื่อคนเสื้อแดงที่เป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยและ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ลุกขึ้นมาขับไล่รัฐบาล
ด้วยการชุมนุมใหญ่ในเดือนเมษายน 2552 แต่ถูกสลาย และชุมนุม
อีกครั้งในปี 2553 ถูกสลายด้วยกำลังทหาร มีผู้เสียชีวิต 99-100 ศพ
บาดเจ็บ 2,000 ราย
ก่อนสลายม็อบในเดือนเมษายน 2553 มีคอลัมนิสต์จากสื่อ
บางฉบับเขียนเชียร์ให้รัฐบาลใช้มาตรการรุนแรง โดยให้
นายกฯ ยอมมือเปื้อนเลือด
เมื่อการเมืองเปลี่ยนแปลงด้วยผลการเลือกตั้งในปี 2554
พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
สื่อจำนวนหนึ่งแสดงออกถึงความไม่พอใจด้วยการเสนอข่าววิพากษ์
วิจารณ์รุนแรง ด้วยเหตุผลว่า เป็นส่วนหนึ่งของ "การตรวจสอบ"
การตั้งคำถามในการสัมภาษณ์อย่างรุนแรงที่เรียกกันในวงการว่า
เป็น "คำถามตรวจสอบ" ทำให้เกิดเหตุการณ์กระทบกระทั่งระหว่าง
นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สื่อข่าวที่รับรู้กันว่านิยมในตัวผู้นำพรรค
ประชาธิปัตย์
โดยที่ผู้สื่อข่าวดังกล่าว ได้รับการยกย่องจากพรรคประชาธิปัตย์
และสื่ออีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ชอบพรรคเพื่อไทย
ในต้นปี 2555 ช่อง 9 โมเดิร์นไนน์ ไม่ต่อสัญญากับสื่อค่ายใหญ่
ที่เข้ามาทำรายการข่าวกับช่อง 9 อยู่หลายปี ทำให้อุณหภูมิระหว่าง
รัฐบาลกับสื่อค่ายดังกล่าวร้อนระอุ
ผลจากกรณีดังกล่าว ทำให้การบริหารงานของรัฐบาล กลายเป็นเป้า
โจมตีของสื่อบางกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การขึ้น
ค่าแรง 300 บาท และการจำนำข้าว
สภาพดังกล่าว ย้อนกลับมาส่งผลต่อสื่อด้วยกันเอง เมื่อสื่อกลุ่ม
ที่ไม่ได้เสนอข่าวแแนวเดียวกับสื่อที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์
ต้องโดนประทับตราด้วยข้อหาแรงๆ
ไม่ว่าจะเป็นข้อหาถูกซื้อ กลายเป็นสื่อแดง เป็นพวกทักษิณ
และข้อหาร้ายแรงอีกหลายรายการ
บทบาทที่เป็นปัญหาเหล่านี้ ส่งผลให้เห็นชัด เมื่อสื่อและองค์กรสื่อ
พยายามลับดาบเพื่อฟื้นบทบาท "ตรวจสอบ" ของตนเอง
ความพยายาม "ตรวจสอบ" ครั้งยิ่งใหญ่ของวงการสื่อ ได้แก่
กรณีสภาการหนังสือพิมพ์ฯ สมาคมนักข่าวฯ และกลุ่มธุรกิจ
ที่ใช้ชื่อว่า ภาคีเครือข่ายต้านคอร์รัปชั่น ประกาศชูธงต้านคอร์รัปชั่น
หลังจากโหมโรงอย่างใหญ่โต ก็กรีธาทัพเข้าถล่ม สรยุทธ
สุทัศนะจินดา และบริษัทไร่ส้ม พิธีกรข่าวชื่อดัง ที่ ป.ป.ช.
ชี้มูลคดีค้างเก่าว่า สรยุทธ และเจ้าหน้าที่ช่อง 9 มีความผิด
นเรื่องเงินค่าโฆษณาเหลื่อมเวลา กับช่อง 9 อสมท หรือโมเดิร์นไนน์
โดยเรียกร้องให้สรยุทธ ยุติการทำรายการ โดยขู่จะกดดันให้บริษัทต่างๆ
ที่สนับสนุนโฆษณารายการของสรยุทธ ถอนโฆษณาให้หมด
กลายเป็นประเด็นวิจารณ์ว่าการเคลื่อนไหวขององค์กรสื่อไม่โปร่งใส
แต่มี "การเมือง" แทรก เนื่องจากถือว่าสรยุทธไม่ใช่สื่อในเครือข่าย
และยังเป็นการเลือกปฏิบัติ โดยยกตัวอย่างจากกรณี นายสนธิ
ลิ้มทองกุล แห่งเครือผู้จัดการ ถูกศาลอาญาสั่งจำคุก 42 ปี ฐาน
รับรองเอกสารเท็จเพื่อกู้เงินธนาคารกรุงไทย จำนวน 1,078 ล้านบาท
เมื่อต้นปี 2555 แต่ไม่มีท่าทีจากองค์กรสื่อหรือกลุ่มต้านคอร์รัปชั่น
แต่อย่างใด
ที่น่าสังเกต คือการ "ตรวจสอบ" ขององค์กรสื่อมักตั้งธงแล้ว
ไปรวบรวมข้อมูลหลักฐานมาถล่ม
จนเกิดความผิดพลาด อย่างกรณีหน่วยงานในเครือสมาคมนักข่าวฯ
อยู่ๆ แพร่ข่าวเปรี้ยงปร้างว่าเครือมติชนรับค่าโฆษณาจาก กสทช.
แล้วเขียนเชียร์การประมูล 3จี ฯลฯ
โดยทำรายงานพิเศษ นับข่าวนับบทความแล้วกล่าวหา คล้ายๆ
กับการตรวจสอบของสภาการหนังสือพิมพ์ฯ เมื่อปี 2554
ก่อนจะโอละพ่อ เมื่อพบว่า เว็บไซต์ของ กสทช. บวกเลขผิด ทำให้
ตัวเลขโดดเกินความเป็นจริง แท้จริงแล้วหนังสือพิมพ์หลายฉบับรับ
ค่าโฆษณาจาก กสทช. มากกว่าเครือมติชน
นี่คือส่วนหนึ่งของสิ่งที่เกิดขึ้นในวงการสื่อเมื่อปี 2555 และเชื่อว่า
จะยังไม่ยุติหรือจบสิ้นเพียงแค่นี้
แต่จะร้อนแรงขึ้นอีกหลายองศา
ตามสภาพการเมืองที่จะเดินเข้าสู่ความแตกหักในหลายประเด็น ในปี 2556 นี้
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1356769335&grpid=01&catid=&subcatid=