ความคิดเห็นที่ 1 สารซัคการีน (Saccharin) Saccharin เป็นสารให้ความหวานที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์สีชมพู การค้นพบเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2422 โดยนักเคมีชื่อ Constantin Fahlberg ความบังเอิญนี้เกิดจากการที่ Fahlberg ไม่ได้ล้างมือหลังจากเสร็จสิ้นการทำงาน หลังจากที่เขากลับมาบ้านและรับประทานอาหารร่วมกับภรรยาตามปกติ  เขาได้ม้วนขนมปังและรับประทานขนมปังนั้น เขารู้สึกว่าขนมปังที่เขารับประทานมีรสหวาน  Fahlberg จึงสอบถามภรรยาว่าได้ใส่อะไรเข้าไปในขนมปังหรือเปล่า ภรรยาตอบว่าไม่ได้ใส่อะไรเข้าไปเป็นพิเศษ เขาจึงคิดว่าความหวานนั้นอาจมาจากมือของเขาที่ไม่ได้ทำความสะอาดก่อนรับประทานอาหารนั่นเอง ในวันต่อมา Fahlberg กลับมายังห้องทดลองของเขาแล้วเริ่มชิมสารต่างๆจนพบสารให้ความหวานที่เรียกว่า Saccharin ขึ้น จากคุณ : Kaokrabi Deawdaay เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 15:25:54

ความคิดเห็นที่ 2 Smart Dust Jamie Link ขณะที่เป็นนักศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาวิชาเคมีที่ University of California อยู่นั้น หนึ่งในชิปซิลิกอน (Silicon chips) ได้เกิดระเบิดขึ้น โดยจากการระเบิดครั้งนั้น Link ได้ค้นพบว่ามีชิ้นส่วนชิ้นเล็กๆอยู่หลายชิ้นที่ยังคงทำหน้าที่เป็นตัวเซ็นเซอร์ จากผลการค้นพบ Smart dust โดยบังเอิญของ Link ทำให้เขาได้รับรางวัลสูงสุดจาก Collegiate Inventors Competition ในปี ค.ศ. 2003 โดยเซ็นเซอร์นี้สามารถใช้ตรวจสอบความบริสุทธิ์ของน้ำดื่มหรือน้ำทะเล ตรวจจับสารเคมีที่เป็นอันตรายหรือสารต่างๆที่ส่งผลทางชีวภาพในอากาศ หรือแม้แต่การระบุตำแหน่งหรือการทำลายเซลล์เนื้องอกภายในร่างกายได้ จากคุณ : Kaokrabi Deawdaay เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 15:28:36

ความคิดเห็นที่ 3 Coke ไม่มีผลิตภัณฑ์อาหารชนิดไหนจะประสบความสำเร็จเท่ากับผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มโค้ก โดยเภสัชกรชื่อ John Pemberton จากเมือง Atlanta พยายามค้นหาตัวยาที่ใช้รักษาอาการปวดหัว เขาได้ทำการผสมส่วนผสมต่างๆเข้าด้วยกัน (ซึ่งยังคงถูกปกปิดเป็นความลับมาจนถึงวันนี้) จากนั้นผลิตภัณฑ์ของเขาได้วางขายในร้านขายยา โดยใช้เ้วลาเพียงแค่ 8 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นยาของเขาก็กลายเป็นเครื่องดื่มบรรจุขวดที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จากคุณ : Kaokrabi Deawdaay เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 15:31:57

ความคิดเห็นที่ 4 เทฟลอน (Teflon) เมื่อช่วงปี พ.ศ. 2473 ได้มีนักเคมีหนุ่มของบริษัท DuPont ชื่อ Roy Plunkett กำลังทำวิจัยเพื่อผลิตสาร CFC (Chlorofluorocarbons) เพื่อใช้เป็นสารทำความเย็น (refrigerant) โดย Plunkett กล่าวว่าเขามีทฤษฎีที่เชื่อว่าการนำสารประกอบชื่อว่า TFE (tetrafluoroethylene) ทำปฏิกริยากับกรด hydrochloric ก็จะได้เป็นสารทำความเย็นขึ้น ดังนั้น Plunkett จึงได้ทำการทดลองบรรจุแก๊ส TFE ใส่ในกระป๋องที่เย็นและมีความดันสูง จากนั้นเติมกรด hydrochloric เข้าไปในกระป๋อง แต่เมื่อ Plunkett เปิดกระป๋องเขากลับพบว่าไม่มีแก๊สอะไรออกมาจากกระป๋อง แล้วแก๊สเหล่านั้นหายไปไหน??? เมื่อ Plunkett เขย่ากระป๋องก็มีเกล็ดเล็กๆสีขาวๆหลุดออกมา Plunkett จึงได้ส่งเกล็ดเล็กๆเหล่านี้ไปให้นักวิทยาศาสตร์ท่านอื่นที่ DuPont นำไปศึกษาต่อ โดยต่อมาจึงได้นำสารนี้มาใช้เป็นเคลือบผลิตภัณฑ์มากมายในปัจจุบัน จากคุณ : Kaokrabi Deawdaay เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 15:42:05

ความคิดเห็นที่ 5 ยางวัลคาไนซ์ (Vulcanized Rubber) Charls Goodyear ได้ใช้ความพยายามนานนับ 10 ปี ในการค้นหาวิธีการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติยางให้ง่ายต่อการใช้งาน โดยคุณสมบัติที่ต้องการคือ ต้องทนต่อความร้อนและความเย็น แต่เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนคุณสมบัติของยางให้เป็นตามที่ต้องการได้ จนกระทั่งวันหนึ่ง Goodyear ได้ทำส่วนผสมของยาง ,กำมะถัน และตะกั่วหกลงไปในเตาที่กำลังร้อนอยู่ ทำให้ส่วนผสมทั้งสามหลอมรวมกันและไหม้เกรียมเป็นสีดำ เมื่อ Goodyear หยิบสิ่งที่เกิดขึ้นมาสังเกตดู จึงเห็นว่ามีความแข็งแรงและน่าจะนำมาประยุกต์ใช้งานได้ หลังจากการค้นพบยางวัลคาไนซ์โดยบังเอิญของ Goodyear ปัจจุบันได้มีการนำยางชนิดนี้มาใช้อย่างแพร่หลายเช่น ยางรถยนต์ และรองเท้าเป็นต้น ภาพแสดงลูกบอลยางจากกระบวนการ Vulcanization ......... จากคุณ : Kaokrabi Deawdaay เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 15:46:31

ความคิดเห็นที่ 6 พลาสติก เมื่อปี พ.ศ. 2450 มีการใช้สาร shellac เพื่อเป็นฉนวนในเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ แต่เนื่องจากการใช้สาร shellac มีราคาแพง ทำให้ต้นทุนการผลิตเครื่องอิเล็กทรอนิกส์สูงตามไปด้วย เพราะต้องนำเข้าสาร shellac ที่ได้จากสารคัดหลั่งของแมลงครั่งจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ดังนั้นจึงมีนักเคมีที่ชื่อ Leo Hendrik Baekeland คิดว่าหากเขาสามารถผลิตสารทางเลือกอื่นที่มีคุณสมบัติคล้ายสาร shellac เขาจะได้กำไรมหาศาลจากสารที่ เขาค้นพบ แต่การทดลองของ Baekeland กลับได้วัสดุที่สามารถพิมพ์ขึ้นรูปได้ และสามารถทนความร้อนได้สูงโดยไม่บิดงอเรียกว่า “Bakelite”  Baekeland คิดว่า Bakelite ที่คิดค้นได้นี้จะถูกนำไปใช้ในการบันทึกในเครื่องเสียง แต่ต่อมาอีกไม่นานได้มีการนำสาร Bakelite ไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆอีกมากมาย ซึ่งพลาสติกที่ใช้กันในทุกวันนี้ก็ได้มาจากสาร Bakelite นั่นเอง จากคุณ : Kaokrabi Deawdaay เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 15:49:27

ความคิดเห็นที่ 7 กัมมันตภาพรังสี (Radioactivity) เมื่อปี พ.ศ. 2439 นักฟิสิกส์ที่ชื่อ Henri Becquerel ได้มีความสนใจกับสิ่งสองสิ่งนั่นก็คือการเรืองแสงตามธรรมชาติ (natural fluorescence) และความแปลกใหม่ของรังสี X-ray โดยเขาได้ทำการทดลองอย่างต่อเนื่องเพื่อทดสอบว่าถ้าแร่ธาตุที่เรืองแสงตาม ธรรมชาติเมื่อถูกปล่อยทิ้งไว้ภายใต้แสงแดดจะสามารถผลิตรังสี X-rays ได้หรือไม่  Becquerel ได้ทำการทดลองในช่วงฤดูหนาว แต่มีปัญหาเกิดขึ้นคือ เขาทำการทดลองในฤดูหนาวกว่าท้องฟ้าจะเปิดก็ใช้เวลาเป็นอาทิตย์ ดังนั้นเขาเลยทิ้งอุปกรณ์กองๆไว้ในลิ้นชัก แล้วรอให้ถึงวันที่แดดออก หลังจากนั้นเขาก็กลับมายังห้องทำงานของเขาและได้พบว่าเกิดรอยพิมพ์ของก้อนหินยูเรเนียม (Uranium rock) ปรากฏอยู่บนแผ่นถ่ายภาพ (photographic plate) ที่ถูกทิ้งไว้ด้วยกันในลิ้นชักโดยที่ไม่ได้รับแสงอาทิตย์ มาก่อน  ซึ่ง Becquerel คาดว่าน่าจะมีบางสิ่งที่พิเศษอยู่ในหินก้อนนั้น หลังจากการทำงานร่วมกับ Marie และ Pierre Curie เขาจึงได้ค้นพบว่าสิ่งนั้นก็คือสารกัมมันตภาพรังสีนั่นเอง จากคุณ : Kaokrabi Deawdaay เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 15:55:21

ความคิดเห็นที่ 8 สีสังเคราะห์สีม่วง (Mauve) เรื่องนี้ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างแปลกๆ โดยเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2399  โดย William Perkin นักเคมีวัย 18 ปี ได้พยายามคิดค้นยารักษาโรคมาลาเรีย แต่การทดลองของ Perkin แทนที่จะได้ยารักษาโรคมาลาเรีย กลับได้หมอกหนาทึบสีม่วงที่สวยงามจากปฏิกิริยาทางเคมี ซึ่งถือเป็นสีย้อมสังเคราะห์สีแรกที่ค้นพบ มีคุณสมบัติดีกว่าสีที่ได้จากธรรมชาติ เนื่องจากมีความสว่าง สดใส และสีไม่จางจากการซัก การค้นพบของ Perkin ทำให้วิชาเคมีเป็นสาขาที่สร้างรายได้ขึ้นมา เขาได้สร้างแรงจูงใจให้คนในสมัยนั้นหันมาสนใจวิชาเคมีมากยิ่งขึ้น หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Perkin ก็คือ นักบัคเตรี (Bacteriologist) ชาวเยอรมันท่านหนึ่งที่ชื่อว่า Pual Ehrlich ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกศาสตร์ทางด้านภูมิคุ้มกันวิทยา (immunology) และเคมีบำบัด (chemotherapy) จากคุณ : Kaokrabi Deawdaay เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 15:58:16

ความคิดเห็นที่ 9 เครื่องไฟฟ้ากระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) เครื่อง Pacemaker เป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตทางการแพทย์ อุปกรณ์ชนิดนี้เกิดจากความสะเพร่าของวิศวกรชาวอเมริกันท่านหนึ่งชื่อ Wilson Greatbatch ขณะกำลังต่อวงจรไฟฟ้าของเครื่องบันทึกอัตราการเต้นของหัวใจ  โดย Greatbatch ต้องการหยิบ resistor (ตัวต้านทานกระแสไฟฟ้า) ขนาด 10,000 โอห์ม แต่เขากลับไปหยิบ resistor ขนาด 1,000,000 โอห์มมาใช้แทน โดยไม่ทันได้สังเกต ซึ่งเมื่อเขานำวงจรดังกล่าวมาใช้งาน  ได้พบว่ามีลักษณะเหมือนจังหวะการเต้นของหัวใจที่เต้น 1.8 มิลลิวินาที แล้วหยุดเต้นอีก 1 วินาที เป็นอย่างนี้ซ้ำไปเรื่อยๆ จากคุณ : Kaokrabi Deawdaay เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 16:01:01

ความคิดเห็นที่ 10 ปิดท้ายกับยาเพนิซิลลิน (Penicillin) เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2471 หรือประมาณ 80 กว่าปีมาแล้ว เนื่องจาก Alexander Fleming ไม่ได้ทำความสะอาดห้องทดลอง ก่อนที่จะลาไปพักผ่อน เมื่อ Fleming กลับมายังห้องทำงาน เขาได้สังเกตเห็นเชื้อราแปลกๆเจริญเติบโตอยู่บนจานอาหารที่เลี้ยงเชื้อ โดยที่รอบๆเชื้อราเหล่านั้นไม่มีการเจริญของเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่นๆเกิดขึ้นเลย จึงเป็นเชื้อราที่ใช้ผลิตเพนิซิลลินต่อมา เพนิซิลลินจึงเป็นยาปฏิชีวนะชนิดแรกที่ถูกค้นพบและยังมีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน จากคุณ : Kaokrabi Deawdaay เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 16:04:12

ความคิดเห็นที่ 11 ที่มาของข้อมูลและภาพประกอบครับ : 1) http://www.ostc.thaiembdc.org/test2012/stnews_May12_5 2) http://en.wikipedia.org การบังเอิญคิดค้นอาหารต่างๆนั้นมีมากมายเหลือเกินเช่น มันฝรั่งแผ่นที่เกิดขึ้นเพราะพ่อครัวนาม George Crum ได้เกิดความรำคาญลูกค้าที่ชอบบ่นว่า french fries ที่เขาทำมันอมน้ำมันเหลือเกิน หรือไอติมแท่งที่เกิดเพราะนาย Frank Epperson ที่ลืมน้ำหวานไว้นอกบ้านในคืนที่อากาศหนาวเย็น ............ จากคุณ : Kaokrabi Deawdaay เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 16:09:12

ความคิดเห็นที่ 12 เพิ่มให้อีกอันครับ การค้นพบเตาอบไมโครเวฟ เป็นผลพลอยได้ จากโครงการวิจัยเกี่ยวกับเรดาร์ โดยผู้ประดิษฐ์คือ ดร. เพอรซี สเปนเซอร์ (Dr. Percy Spencer) สังเกตพบว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ในขณะที่เขากำลังทดสอบ หลอดสุญญากาศ (vacuum tube) อันใหม่ที่เรียกว่า “แมกนีตรอน” (magnetron) เนื่องจากแท่งลูกกวาด (candy bar) ในกระเป๋ากางเกงเกิดหลอมเหลว เขารู้สึกประหลาดใจมาก และได้ทดลองเพิ่มเติมโดยการนำเมล็ดข้าวโพดมาวางใกล้หลอดดังกล่าว ข้าวโพดก็ประทุแตก กระจายทั่วห้องปฏิบัติการ หลังจากนั้นเขาใช้ไข่ไก่มาวางใกล้แมกนีตรอน ปรากฏว่าไข่ไก่มีการสั่นสะเทือน อุณหภูมิภายในไข่ไก่ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเกิดระเบิดเนื่องจากเกิดแรงดันภายใน ดร. เพอร์ซี สเปนเซอร์ ได้สรุปว่า การหลอมเหลวของแท่งลูกกวาด การสุกของเมล็ดข้าวโพดและไข่ไก่ เป็นผลจากพลังงานไมโครเวฟ ความหนาแน่นต่ำ (low-density microwave energy) เขาจึงออกแบบกล่องโลหะ ซึ่งภายในมีแหล่งกำเนิดของพลังงานไมโครเวฟ และมีที่วางอาหาร กล่องโลหะจะช่วยป้องกัน การสูญเสียพลังงานไมโครเวฟ เนื่องจากคลื่นไมโครเวฟ ไม่สามารถทะลุทะลวง หรือถูกดูดซับด้วยโลหะ ดังนั้นทำให้เพิ่มพลังไมโครเวฟ ให้สูงขึ้นเมื่อวางอาหารลงในกล่อง อุณหภูมิของอาหารจะเพิ่มอย่างรวดเร็วและสุกในช่วงเวลาสั้นๆ    จากจุดเริ่มต้นดังกล่าว นับได้ว่า ดร. เพอร์ซี สเปนเซอร์ ได้ประดิษฐ์อุปกรณ์ ที่ช่วยในการปฏิวัติการปรุงอาหาร และสร้างอุตสาหกรรมพื้นฐาน ที่มีมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ ซึ่งรู้จักกันในชื่อ “เตาอบไมโครเวฟ” ต่อมากลุ่มวิศวกรที่ร่วมงานกับ ดร. เพอร์ซี สเปนเซอร์ จดลิขสิทธิ์เตาอบไมโครเวฟ เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ปรุงอาหารในปี ค.ศ. 1946 และมีการจำหน่ายเพิ่มให้อีกอันครับ        เตาอบไมโครเวฟเครื่องแรกในปี ค.ศ. 1947 ด้วยราคาเครื่องละ 5,000 ดอลลาร์ แต่อย่างไรก็ตาม เตาอบไมโครเวฟรุ่นแรก ไม่ได้รับความนิยม เพราะนอกจากมีราคาแพงแล้ว ยังมีขนาดใหญ่ คือสูง 5 ฟุต หนัก 750 ปอนด์ เนื่องจากต้องมีปั้ม เพื่อใช้ในระบบหล่อเย็น ในการลดอุณหภูมิของหลอดแมกนีตรอน หลังจากปรับปรุงระบบแมกนีตรอน โดยใช้การหล่อเย็นด้วยอากาศ เตาอบไมโครเวฟก็มีขนาดเล็กลง และราคาไม่แพง ทำให้เตาอบไมโครเวฟเป็นที่ยอมรับ และกลายเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในเชิงการค้า และมีศักยภาพ ที่นำไปใช้ประโยชน์ อีกมากมายในอนาคต   อ้างอิงจาก http://www.gallawa.com/microtech/history.html Internation, Inc., 1997, pp. 409-425. แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 55 16:32:27 จากคุณ : captain Rapin เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 16:30:44

ความคิดเห็นที่ 13 ไข่เยี่ยวม้า นับมะ จากคุณ : ascertain เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 17:07:48

ความคิดเห็นที่ 14 ปลาร้า กะปิ และถั่วบูดนัตโตะ พอจะเข้าเค้าด้วยเหมือนกัน จากคุณ : ไข่เจียวว เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 17:32:28

ความคิดเห็นที่ 15 บางอย่างมันไม่ใช่ "สิ่งประดิษฐ์" ครับ แต่เป็นการค้นพบโดยบังเอิญ จากคุณ : T7Promoter เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 17:50:25

ความคิดเห็นที่ 16 ขยันจัดเหลือเกินคุณเก้าฯ เฮ้!ถ้านับเพนนิซิลินล่ะก้อ ไวอากร้า ก็ไม่น่าพลาดนะคะ...5555 ชอบกระทู้นี้มากมาย เก็บเข้าคลังดีกว่า จากคุณ : mangpongja เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 18:35:10

ความคิดเห็นที่ 17 #15 ....... จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ แต่พอดีผมอาจจะใช้คำรวมๆว่าสิ่งประดิษฐ์ ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ ...... จากคุณ : Kaokrabi Deawdaay เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 18:40:19

ความคิดเห็นที่ 18 จำได้ว่ากาวที่ติดแผ่น Post It แต่แรกเลยเป็นการค้นคว้าเพื่อจะสร้างกาวที่ติดได้ทนทาน    ติดได้ทุกอย่าง แต่ผลที่ออกมากลับเป็นกาวที่ติดอะไรไม่ได้เลย    ลอกออกได้ทุกเมื่อ จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 20:34:44

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ :D จากคุณ : สปายบอย (spyboy007_forall) เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 21:12:18

ความคิดเห็นที่ 20 Alexander Fleming จำชื่อนายคนนี้ได้ตลอด จากคุณ : nuanapa เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 06:38:29

ความคิดเห็นที่ 21 Alexander Fleming ชื่อนี้เป็นตัวอย่างและถูกหยิบยกมาทุกครั้ง ถึงความบังเอิญและการสังเกต จากคุณ : amscmu เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 09:06:18

ความคิดเห็นที่ 22 อ่านแล้วแปลกๆ แลดูโม้ๆ จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 09:22:26 A:1.4.239.153 X: TicketID:208572

ความคิดเห็นที่ 23 เรื่องของกระดาษโน้ตโพสต์อิต Dr.Spencer Silver นักวิทยาศาสตร์ของบริษัท 3M คิดค้นกาวที่เหนียวติดและลอกออกได้ เป็นคนแรกในช่วงปี ค.ศ. 1968 แต่ยังไม่มีผู้ใดนำไปประยุกต์ใช้ หลายปีผ่านไป Art Fry นักวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ได้นำกาวตัวนี้มาใช้กับที่คั่นหนังสือ แล้วจึงมาเป็นกระดาษเตือนความจำสีเหลืองอ่อนในเวลาต่อมา ในเล่มยังมีสิ่งประดิษฐ์ใกล้ตัวอื่นๆอีกมากมาย ที่จะได้รู้ความเป็นมาของมัน มีแปลเป็นไทยแล้วด้วนนะ Humble Masterpieces: 100 Everyday Marvels of Design แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 55 10:39:45 จากคุณ : wrought เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 10:37:06

ความคิดเห็นที่ 24 ฟังดูเหมือนเป็นการค้นพบโดยบังเอิญ แต่ผมกลับคิดว่า มันเป็นการค้นพบที่ไม่บังเอิญหรอก จริงๆ แล้ว สิ่งที่เขาเหล่านี้เจอ หรือที่เรียกว่าพบโดยบังเอิญ ก็เป็นสิ่งที่หลายๆ คน เคยพบ เคยเห็นมาก่อนได้ทั้งนั้น แต่สิ่งที่ทำให้มันต่างออกไปสำหรับคนเหล่านี้ ก็คือ การช่างสังเกต อันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของนักวิทยาศาสตร์ รวมถึงการนำสิ่งที่ค้นพบจากการสังเกต มาวิเคราะห์ด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องนั้นๆ ที่แน่นปึ๊ก จนได้ผลลัพท์เป็นสิ่งประดิษฐ์ออกมา ไม่ใช่ใครก็ทำได้ ไม่ใช่ใครสังเกตเห็นเหมือนกันแล้วจะคิดได้ ดังนั้น การจะบอกว่า บังเอิญ หรือฟลุ๊ค ก็คงไม่เป็นธรรมนัก ถ้านิวตัน โดนแอบเปิ้ลหล่นใส่หัว แล้วเขาทำแค่หยิบแอบเปิ้ลเข้าปาก หรือ Alexander Fleming  พบเชื้อในจานเพาะเชื้อ แล้วก็เลยหยิบไปล้างโดยไม่ได้สนใจอะไร เราก็คงไม่มีทฤษฏีแรงโน้มถ่วง หรือยาปฏิชีวนะให้รักษาโรคกันหรอก จริงไหม ป.ล. จริงๆ แถวๆ บ้านเราก็สังเกตอะไรกันได้บ่อยๆ นะ แต่ขาดพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่จะคิดให้มันเกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ก็เลยทำได้แค่ ปะแป้ง ขูดแป้ง ขอหวย กันไปตามเรื่องตามราว จากคุณ : ลูกหมีเขี้ยวยาวเขาโง้ง เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 10:40:26

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณ ความบังเอิญทั้งหลายที่ทำให้โลกน่าอยู่ขึ้น และนักวิทย์ช่างสังเกตที่คิดมันขึ้นมา จากคุณ : ลุงน้อยลำปาง เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 11:06:15

ความคิดเห็นที่ 26 Coke นี่เป็นยาหรอเพิ่งรู้แหะ จากคุณ : Ballmakoto2 เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 13:30:52

ความคิดเห็นที่ 27 แต่แรกเริ่มตั้งใจจะให้เป็นยาจริงๆครับ และแม้กระทั่งทำออกมาใหม่ๆก็ไม่ได้อัดก๊าซให้มันฟู่แบบนี้ นึกถึงโค้กเปิดวางทิ้งไว้นานๆนั่นแหละ ไม่ได้โม้หรอกครับ หลายๆเรื่องน่ะจริงเลย อย่างที่คุณลูกหมีเขี้ยวยาวเขาโง้งบอก หลายๆเรื่องมันเกิดขึ้นรอบๆตัว แต่ใครจะสังเกตหรือนึกหรือเปล่า และนึกแล้วทดลองไปจนสุดทางต่อหรือเปล่าก็อีกเรื่อง จากคุณ : น้ำใส เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 16:03:44

ความคิดเห็นที่ 28 เกิดเพราะ ความ ช่างสังเกตุทั้งนั้นเลย ถ้าเรา เห็นๆ ก็ คง มองผ่านไปเฉยๆ จากคุณ : ก้นกบ เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 16:23:42

ความคิดเห็นที่ 29 แล้วกิน Coke ปัจจุบันนี้ ยังแก้ ปวดหัวได้อยู่ป่าวคับ ผมจะได้เลิกกิน EST กับ เป๊บซี่ จากคุณ : Ballmakoto2 เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 17:10:09

ความคิดเห็นที่ 30 ว่าแต่ผมชักยากส์รู้แล้วแหะ ว่าปลาร้า ถูกค้นพบมายังไง จากคุณ : Ballmakoto2 เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 17:15:13

ความคิดเห็นที่ 31 Coke coke จากคุณ : Manmanky (Manmanky) เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 20:18:51

ความคิดเห็นที่ 32 คุณเคยสัมผัสถึงคอสโมบ้างหรือป่าว? จากคุณ : Galuf เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 01:35:25

ความคิดเห็นที่ 33 โค้กนี่จวบจนบันี้ก็ยังไม่มีใครรู้สูตรอีกเหรอครับเนี่ย นานมากยังไม่มีคนเลียนแบบได้อีกแฮะ -.- จากคุณ : เลิกใช้บัตรผ่านแล้ว เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 05:29:26

ความคิดเห็นที่ 34 อ่านหัวข้อแล้วคิดถึง Powerpuff girl อิอิ ที่ถูกสร้างขึ้นโดยบังเอิญของศาสตราจารย์ Utonium จากคุณ : Jemie_A เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 13:16:06

ความคิดเห็นที่ 35 เหล้า,เบียร์ น่าจะบังเอิญเอาน้ำหมักที่เสียแล้วของพืชไร่ เอามาดื่มกินกัน จากคุณ : กบกินกะลา เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 16:34:37

ความคิดเห็นที่ 36 แล้วไอสารสัณฑสกร ไอที่หวาน ๆ ที่ว่า ไปทำเหมืองแล้วกินขนมปังไม่ยอมล้างมือแล้วรู้สึกหวาน ๆ นั่นหละครับ ผมจำได้ว่าเคยมี แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 55 17:53:41 จากคุณ : ElMinZeed เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 17:53:08

ความคิดเห็นที่ 37 แกงโฮ้ะ ของคนเหนือ ก็ถูกค้นพบด้วยความบังเอิญเช่นกันครับ จากคุณ : totspol เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 21:56:39

ความคิดเห็นที่ 38 รังสีเอ็กซ์ (William Corad Rentgen)  รังสีเอกซ์เรย์ที่ใช้ในโรงพยาบาลทุกวันนี้ ถูกค้นพบโดย William Rentgen ในปี 1896 โดยเขาได้ทำการวิจัยด้วยการใช้เครื่องสร้างรังสีแคโทดผ่านท่อแก้วสุญญากาศ ปรากฏว่ามีแสงสีเขียววิ่งปะทะกับท่อ ซึ่งแสงดังกล่าววิ่งทะลุวัตถุทุกอย่างที่อยู่หน้ามัน ดังนั้นเขาจึงทดลองถ่ายโครงกระดูกมือไว้ (ในภาพเป็นมือของ Albert von Kolliker นักกายวิภาคศาสตร์) และทำการตีพิมพ์ผลงานวิจัยในชื่อ "On a New Kind of Radiation" ภาพเอ็กซ์เรย์แรกสุดของโลก มือที่เห็นเป็นของภรรยา (Anna Berthe Roentgen) จากคุณ : พิงค์วู เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 55 06:35:05

ความคิดเห็นที่ 39 เวลโคร (George De Mestral)  สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้น่าจะคุ้นๆ กันดี โดยเฉพาะบนเสื้อผ้า  ค้นพบโดยบังเอิญเมื่อนาย George De Mestral ได้พาสุนัขเดินเล่นในป่า และพบว่ามีเมล็ด Cocklebur (ต้นกระชับ) เกาะตามตัวเขา-สุนัขมากมาย และเมื่อนำเมล็ดนั้นมาส่องกับกล้องจุลทรรศน์ พบว่าเมล็ดนี้มีห่วงคล้ายตะขอมากมาย จากนั้นนายจอร์จจึงได้ทดลองทอผ้าหลายๆ ชนิดขึ้นมา และก็ทำสำเร็จได้ในที่สุด ภายหลังได้จดสิทธิบัตรในชื่อ "Velcro"  ปัจจุบันเวลโครถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะบนเสื้อผ้า อุปกรณ์พกพาต่างๆ เพราะสะดวกในการใช้งาน แถมไม่ต้องรูดซิป ติดกระดุมให้วุ่นวายอีกตะหาก ^^ จากคุณ : พิงค์วู เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 55 06:37:24

ความคิดเห็นที่ 40 ไวอากร้า (Viagra)                แรกเดิมทีเดียว ยาไวอากร้ามีชื่อสามัญว่า Sildenafil ทาง แผนกวิจัยของบริษัทไฟเซอร์ได้ผลิตขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ในการรักษาโรค Angina (เจ็บหน้าอก เนื่องจากเส้นเลือดหล่อเลี้ยงหัวใจตีบตัน) เพราะยาตัวนี้ช่วยขยายเส้นเลือดทำให้เลือดไหลผ่านไปได้ แต่ผลการทดลองปรากฏว่า ตัวยาไม่ขยายเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจให้ผลดังเป้าหมาย แต่กลับไปขยายเส้นเลือดที่บริเวณองคชาตของผู้ชายทำให้เลือดไปคั่งบริเวณนั้น ยังผลให้เกิดการแข็งตัวอยู่นาน และนื้คือจุดเริ่มต้นของไวอากร้า                นับจากนั้นเป็นต้นมาไวอากร้า กลายเป็นตัวยายอดนิยมที่มีสถิติการจำหน่ายสูงสุดนำหน้ายาขนานอื่นในสหรัฐ อเมริกาเองนับตั้งแต่การวางตลาดเมื่อวันที่ 10 เมษายน จนถึงสิ้นปี ค.ศ.1998 ประชาชนชาวอเมริกันซื้อยานี้ หมดเงิน มากกว่า 441 ล้านเหรียญดอลลาร์ บริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) คาดว่ายอดจำหน่ายแต่ละปีใน สหรัฐอเมริกาจะตกประมาณ 600 ล้านเหรียญดอลลาร์ และในทวีปยุโรปรวมทั้งแถบเอเชียคงมียอดขายใกล้เคียงกับจำนวนนี้เช่นกัน จากคุณ : พิงค์วู เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 55 06:45:47

ความคิดเห็นที่ 41 ขออนุญาตปาด ครับ จากคุณ : เขียนบน SS GS Note I (HS2ZFO) เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 55 07:56:23

ความคิดเห็นที่ 42 น่าสนใจทุกเรื่องเลยค่ะ จากคุณ : Tang_Siri เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 55 08:57:44

ความคิดเห็นที่ 43 อ่านกระทู้ จขทก ไป วันรุ่งขึ้นที่โรงเรียนมีแข่งตอบปัญหา เจอคำถาม ใครค้นพบเพนิซิลลิน เสียดายมากอุสาห์อ่านไปแท้ๆ ลืมเฉยเลย จากคุณ : komdejkas เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 17:31:11

ความคิดเห็นที่ 44 ทดสอบ จากคุณ : ศราวุธ (ศราวุธ) เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 22:46:21

ความคิดเห็นที่ 45 สุดยอด สักวันจะไปเยี่ยมห้องปฎิบัติการของนาย เรินเก้น ( ผู้คนพบรังสี X ) จริงๆ ควรเรียก การเอ็กซเรย์ว่า การ เรินเก้น  มากกว่า เป็นการให้เกียติผู้คนพบคนแรก ( เขาเป็นขาวเยอรมัน ) แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 55 03:42:21 จากคุณ : enduresexy เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 55 03:41:34