ความคิดเห็นที่ 1 LinuxTLE 10.0 ก็พัฒนามาจาก Ubuntu 10.04 นี่ครับ จากคุณ : EspressoFx เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 08:54:01

ความคิดเห็นที่ 2 มีออฟฟิตปลาดาวด้วยนิ จากคุณ : Ice-man เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 08:54:56

ความคิดเห็นที่ 3 SIPA ยังไม่เอาด้วยเลย จากคุณ : ascertain เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 09:12:08

ความคิดเห็นที่ 4 มีชาติไหนคิดทำแบบนี้บ้าง แล้วผลเป็นอย่างไรบ้างครับ จากคุณ : tatae (tatae_kung) เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 09:14:58

ความคิดเห็นที่ 5 นักวิจัยในตึกนั้น เค้าถือกันแต่ macbook แล้วครับ เอาเวลาไปต่อยอดพัฒนาอย่างอื่นดีกว่าครับ มาพัฒนา OS เสียแรงเป่าๆ จากคุณ : TalkingTalk เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 09:16:18

ความคิดเห็นที่ 6 Ubuntu 12 พัฒนาร่วมกันหลายชาติ ภาษาไทยพร้อม สวยงาม มีปัญหาบ้างเรื่อง driver อุปกรณ์ต่อพ่วง แต่ค้น อากู๋ ก็เจอทางแก้ จริงๆ ฟรีแวร์ดีๆ มีเยอะ ลองใช้ดู Gimp Libro office Jdownloder Firefox chrome ฯลฯ ใช้ง่าย ไม่ต่างกับ win เท่าไหร่ ผมว่าดีกว้าด้วย ่ลง virtualbox ไว้จำลอง windows ด้วย เผื่อต้องใช้ จากคุณ : เบค่อนไข่ดาว เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 09:39:44

ความคิดเห็นที่ 7 Libro office โคตรของความอืดเลยครับ จากคุณ : RyanUtd เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 09:52:46

ความคิดเห็นที่ 8 โครงการนั้นโดนไมโครซอฟต์เจาะยางครับ เกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ แต่กระทรวง ICT กลับลำ 180 องศา หันมาสนับสนุนวินโดวส์ซะงั้น จากคุณ : meam เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 09:56:20

ความคิดเห็นที่ 9 ของฟรีไม่มีในโลกครับ อยากได้ linux ก็เพิ่มความซับซ้อนและยากขึ้น ต้องเสียเงินไปอบรมบุคลากรกันใหม่หมด ถ้าเราเริ่มทำจริงจังก่อน windows ก็คงไม่มีปัญหาหรอกครับ จากคุณ : HaHaHa เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 10:53:42

ความคิดเห็นที่ 10 OS แห่งชาติ(หน้า) ปัญหาคือ คนทำอยากทำ(หรือเปล่าไม่รู้) แต่คนใช้ ไม่อยากใช้ /// ถ้าเป้าหมายคือ เพื่อให้คนไทย มีโอเอสใช้กัน อย่างถูกกฎหมาย เอาตรงๆ ผมว่าช่างมันเถอะครับ ประเทศที่ก็อบกันอย่างถูกกฎหมายอย่างจีน เค้าไปถึงไหนกันแล้ว (แก้กฎหมายมาให้ตรงกับพฤติกรรมแทนแล้วกัน ผมว่าประเทศโลกที่3อย่างเรา ไม่เสียอะไรหรอก ลองถ้าเมกา ขายแต่สินค้าเกษตร ไม่ใช้ประเทศซอฟแวร์ ก็คงไม่มานั่งกดดัน ให้รณรงค์กันอย่างนี้) /// ถ้าเป้าหมาย คือ เพื่อปลูกฝังในระยะยาว ให้ลูกหลายคนไทย สนับสนุน ซอฟแวร์ เพื่ออนาคต ซอฟต์แวร์ไทย บอกตรงๆว่า เรื่องนี้ยากมากสำหรับนิสัยคนไทย ซอฟแวร์ไทยอาจจะค่อนข้างไร้อนาคต ดูอย่างค่ายเบเกอรี่ ที่เจ๊งบ๊งไป อย่างที่รู้ๆกันว่า คนไทยมักง่าย ไม่ทำอะไรจริงจัง(นอกจากกีฬาสี) จะเอาจริง ต้องมีการสนับสนุนอย่างจริงจังจากภาครัฐ เช่น โครงการ โอเอสแผ่นแรก ออฟฟิสเอื้ออาทร โครงการจำนำ massage masanger อะไรพวกนี้ **** ประเดนของผมคือ ตั้งเป้าหมายหลัก ปัญหาหลักจริงๆสุดท้ายมาก่อน ว่าจะทำอะไร เพื่ออะไร จากนั้นจึง แจ้งให้สมาชิกทุกคนเข้า และไม่ว่าฝ่ายบริหาร จะดำเนินการต่อ หรือไม่ อย่างไร เมื่อสมาชิก ตระหนักถึงผลกระทบ ส่วนได้ส่วนดีของตน เค้าจะมีแรงขับเคลื่อนไปกันเอง ระดับนึง ไม่ใช่ อยากจะออก จะสั่งอะไร ก็สั่งมา แล้วก็โละๆไป ตามระเบียบประเทศไทย ผมว่า ธรรมชาติ คนไทย ฉลาด มีความคิด และรู้จักเลือก (แม้บางครั้งจะประเมิน ทางเลือกของตนต่ำไป หลับหูหลับตา ใช้อารมณ์ไปบ้าง ทิฐฐิส่วนตัวเยอะ) ผมว่า คนไทย มีน้ำใจ แล้วก็รักชาติ และบ้าจี้ด้วย กระตุ้นไปเยอะๆ ว่ามันดีกับตนเอง ดีกับลูกหลาน ดีกับประเทศชาติยังไง มีแต่จะมาแย่งกันทำ ถึงบางคนไม่ทำ แต่มันก็จะรู้สึก ติดในใจลึกๆ ว่านี่คิด สิ่งที่ควรจะทำ (นี่คือ ในกรณีที่มันมีข้อดีจริงๆนะ กรณีที่มันไม่ได้มีข้อดีอะไร แต่แค่อยากจะทำเฉยๆ ผมขออนุญาต ขอผ่านแล้วกันครับ) ปล.เขียนไปตรงๆ ไม่ได้มีเจตนาโจมตีอะไรนะครับ แค่ไม่เข้าใจ ในสิ่งที่คิดว่า สำคัญที่สุด และเป็นสิ่งแรกที่คิดว่าควรจะรู้ ก่อนที่จะรู้สิ่งต่อๆไป กลยุทธ์ซุนจื่อ ข้อแรก ในการพิจารณาผลศึกแพ้ชนะ คือ ความร่วมใจของปวงชน ศึกนั้นๆ ต้องเพื่อคุณธรรมปวงชน ส่งผลดีต่อปวงชน จึงจะได้รับการสนับสนุนจากปวงชน ซึ่งการบริหารให้สำเร็จได้ดี ต้องเริ่มที่สื่อสารให้สมาชิก เข้าใจความสำคัญของมิชชั่นนั้นๆก่อน ลองเริ่มว่า โครงการนี้ ไม่มีผลอะไรเลย ให้ทำไปเล่นๆแค่นั้น ผลออกมาสำเร็จสมบูรณ์ดี ก็แปลกละ สรุป ผมอยากเปลี่ยนสังคมไทย จากสังคมการออกคำสั่ง และบังคับเข็ญใจ ไปเป็น เข้าใจ ตระหนัก และสมัครใจทำ ด้วยความสุข ของตนเองและลูกหลาน ผมเชื่อว่า พื้นฐานคนไทย เป็นคนดีครับ (คนดี แปลว่า คนที่จะกระจายความสุข และการไม่เบียดเบียนออกไปรอบตัว เสมอๆ) จากคุณ : ฟฟ7 เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 11:03:38 A:58.137.93.6 X: TicketID:375732

ความคิดเห็นที่ 11 จริงๆพวก Open source มันก็มีเยอะแยะแล้วนะ OS ฟรีๆไรพวกนี้  แทนที่จะปลูกฝังไม่ให้ละเมิดลิขสิทธิ์โดยผลิต OS สำหรับคนไทย  ผมว่า เรามาเลือกจุดยืน เลือก OS ฟรีๆ ที่มีอยู่ แล้วมาสนับสนุนให้เยาชน,ประชาชน หันมาพัฒนาหรือใช้งาน OS นั้นๆให้เกิดประโยชน์ดีกว่ามั๊ย Ubuntu อะไรพวกนี้ ประเทศไทยเราก็มีคลับอยู่ คนใช้ก็มีอยู่พอสมควร แต่ยังขาดการสนับสนุนจากภาครัฐอยู่ ผมว่าเริ่มจากสถานศึกษาก่อนเลยเนี่ย บังคับตัวเองไปเลยว่าให้ใช้ Linux ไปเลย ไม่ต้องลงวินโดว์ ไม่ต้องไปเสียงบกับลิขสิทธิ์อยู่ บางสาขา บอกมีนโยบายเน้นการใช้ Open source แต่คอมในห้องแลบยังลง Ubuntu พร้อมๆกับ Windows อยู่ อาจารย์บอก มีบางโปรแกรมมันต้องใช้บนวินโดว์  แต่ . . . . . . จากคุณ : ล็อกอินผิดพลาด เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 11:43:05

ความคิดเห็นที่ 12 Linux เสียอย่างเดียวเลยคือมันเล่นเกมออนไลไม่ได้ ถ้ามันเล่นเกมออนไลได้ อย่าคิดนะว่า ไม่มีคนใช้ คนรอใช้ เป็นสิบล้านคน แต่มันเล่นเกมไม่ได้ เรื่องเอกสารงานอะไรนี้ เค้าแก้กันจะร้อยเปอเซนต์แล้ว ติดอยู่แค่ บริษัทเต่านาไทย ไม่รู้จัก.pdf จะเอาแต่ .doxs .xlsx ซึ่งมันก็ต้องใช้ของเล็กนิ่มอยู่ดี ส่วนเรื่องงานกราฟฟิก อันนี้ผมยอมรับว่า ฝั่งอโดบี้ได้เปรียบจริงๆ อาจจะต้องยอมเสียเงินกันบ้าง แต่ถ้าไม่ใช่ระดับมืออาชีพ เอามาหาเงิน ของที่มีอยู่ก็ใช้ได้สบายๆ ขนาดแค่ ใช้คำว่าแค่เดียว ไฟร์เซิพเวอ ผมแนะนำลินุกให้บริษัท เพราะไม่เสียค่าไลเซนตั้งหลายหมื่นเค้ายังไม่เอาเลย บอกคำเดียว กลัวไม่เสถียร ทั้งๆที่เซิพเวอร์ครึ่งโลกใช้ลีนุกัน จากคุณ : ^Ai^ เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 11:52:05 A:192.168.1.106 X: TicketID:280139

ความคิดเห็นที่ 13 รอ android ดีฝ่า จากยุคเมนเฟรม มามินิ มาพีซี มาตอนนี้โมบายล์ ต่อไป พวกโมบายล์คอม จะเป็นศูนย์กลางของวงการ ตอนนี้ก็ใช้แดนดรอย์ฟรี ไม่เห็นต้องเสียลิขสิทธิ์ แค่รอให้มันพัฒนาไป ทั้ง software hardware แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 55 11:53:40 จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 11:52:23

ความคิดเห็นที่ 14 Android มันก็ Linux แหละ ใช้มาตั้งแต่ SLS แล้ว ทำ สเกล ที่เล็กที่สุดของสังคมให้ได้ก่อน แล้วค่อยคิดการใหญ่ จากคุณ : srich เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 12:16:03

ความคิดเห็นที่ 15 มันแค่ thai distro นิครับ ไม่ควรจะเป็น os แห่งชาติหรอก ถ้าเขียน kernal เอง 100% ค่อยมาอ้างดีกว่า ในใจอยากเห็น thai distro เยอะๆ ครับ หลายๆ ค่ายมาแข่งกัน แข่งกันทำ UI ให้ง่ายเหมาะกับคนไทยมากขึ้น ms ก็จะค่อยๆ น้อยลงไปเอง จากคุณ : cdchd เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 12:31:08

ความคิดเห็นที่ 16 ออกกฎหมายให้อย่างน้อยต้องแบ่งพาร์ติชั่นมาลงลินุกซ์ทุกเครื่องไม่ว่าจะใช้หรือไม่ จากคุณ : ตอบโจทย์ เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 12:38:27 A:124.120.134.51 X: TicketID:204597

ความคิดเห็นที่ 17 ผมว่า ทำแอนดรอยด์มาใช้กับ PC ซะยังจะมีคนใช้เยอะกว่านะ จากคุณ : NATSKI13 เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 12:47:18

ความคิดเห็นที่ 18 ตอนนี้ที่บริษัทผม นอกจากวินโดว์ กับออฟฟิศแล้ว ที่เหลือฟรีแวร์ล้วนๆ สุดท้ายก็ปรับตัวกันได้ครับ ตอนนี้ถ่ายรูปมายังใช้ Gimp โพรเสส เอาเลย แทบจะลืมไปแล้วว่า PS ใช้ยังไง จากคุณ : คนเดินดินกินข้าวแกง เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 13:02:29

ความคิดเห็นที่ 19 ผมว่าไร้สาระครับ ราคา Software ไม่ได้แพงอะไรเลย แทนที่จะขี้เหนียวเรื่องพวกนี้หาวิธีเก็บเงินซื้อมันดีกว่า แล้วก็เอาไปต่อยอดสร้างเงินอีกที บางคนก็แปลกกลับเลือกอยากจะบังคับใช้ควายไถนาแทนรถไถ ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าราคาควายแพงกว่า ค่าดูแลแพงกว่า ผลผลิตต่ำกว่า ฯลฯ แล้วก็มานั่งพูดว่ารถไถนี่ไม่ดีเนอะต้องซื้อเขามา น้ำมันก็ต้องนำเข้า บลา ๆ ๆ ใช้ควายกันเถอะครับพวกเรา ไม่ต้องเติมน้ำมัน สรุป - ใช้รถไถงานเสร็จไว ได้ผลผลิตมากกว่า ได้กำไรมากกว่า ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคนบางจำพวกจะมารณรงค์ให้ผมใช้ควายไถนาทำไม? ... แปลก ... จากคุณ : yugioh2500 เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 13:31:42

ความคิดเห็นที่ 20 ของบางอย่างไม่จำเป็นต้องพัฒนาด้วยตัวเองหรอกครับ (ถ้ามันไม่คุ้ม) เหมือนคุณทำกับข้าวกินเองน่ะครับ คุณปลูกผักเองมั้ย คุณเลี้ยงหมูเองหรือปล่าว และฟืนคุณเลือกซื้อแก๊สหรือว่าไปตัดไม้เอาเอง? สรุปมันก็ไม่ใช่ กรณีนี้ก็คล้าย ๆ กับ OS แห่งชาติอะไรพวกนั้นแหล่ะ เห็นได้ว่ามันไม่คุ้มสู้ซื้อ Windows แล้วพัฒนาคนใ้ช้งานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดดีกว่า หาประโยชน์และหาเงินจากมันให้ได้ดีกว่ามานั่งทำเรื่องอะไรพวกนี้ ถ้าผมใช้ Windows เวลามีปัญหายังมี Microsoft คอยซัพพอร์ทให้ และถ้าผมใช้ OS แห่งชาติอยากทราบว่าหน่วยงานไหนจะช่อยซัพพอร์ทให้ครับ? ถ้าผมเป็นเจ้าของกิจการไม่จำเป็นต้องหยุดพักกิจการเลยหรือ จากคุณ : yugioh2500 เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 13:38:23

ความคิดเห็นที่ 21 เสียดายที่งานหลักๆ ผมใช้ Adobe ต้องบอกตามตรงว่าโปรแกรมดีไซน์ออกแบบนั้น ยังไม่มีโปรแกรมไหนใช้งานได้ดีเท่า Photoshop, illustrator และโปรแกรมทำเว็บก็ยังคงจำเป็นต้องใช้ Dreamweaver มันช่วยให้การทำงานสะดวกมากขึ้นจริงๆ ผมจึงเลือกใช้ Mac จากคุณ : pollock เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 15:10:23

ความคิดเห็นที่ 22 เณรไม่เกี่ยว เจี๊ยวยังเล็ก !!! จากคุณ : ฉงนเพื่อนขอนลอย เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 15:36:40

ความคิดเห็นที่ 23 ใช้ Linux  Mint อยู่ สุดยอดมาก จากคุณ : ดวงตาตะวัน เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 16:01:15

ความคิดเห็นที่ 24 มันเป็นที่ความเคยชินครับ แล้วก็ความเข้ากันได้ จากคุณ : amscmu เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 16:05:19

ความคิดเห็นที่ 25 มีเกาหลีใต้ที่พัฒนาโปรแกรมคล้าย word ใช้แทน word กันไปเลย จนตอนนี้แทบทุกเครื่องทุกบ้านต้องมีไม่งั้นพิมพ์งานส่งอาจารย์ไม่ได้ เวลาเราจะส่งเอกสารอะไรให้เขาต้องหาไอ้ตัวนี้มาลงไม่งั้นบางที่เค้าเปิดไม่ได้ พาให้นึกถึงโปรแกรมโลตัส เวิร์ดจุฬา ที่เราเคยมีกัน ส่วน os แห่งชาติคาดว่าล่มเพราะโปรแกรมใหม่ๆระบบใหม่ๆมันออกมาทุกวัน ต้องพัฒนาตามให้รองรับ พอระบบไม่รองรับอะไรใหม่ๆ คนก็หนีหมด แล้วอย่างที่รู้ๆว่าบ้านเรารณรงค์อะไรเหมือนไฟไหม้ฟาง พอคนเริ่มออกจากตำแหน่งก็ไม่มีใครอยากจะสานต่อแล้ว เดี๋ยวไม่มีผลงานของตัวเอง ก็คิดกันแบบนี้ จากคุณ : Dequardo เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 16:05:39

ความคิดเห็นที่ 26 เรื่อง OS นี่พูดกันยาว ความเข้าใจผิดหมายเลข 1 "OpenSource เป็นของฟรี ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในบริษัทได้" ความเป็นจริงคือ ต่อให้คุณพัฒนา OpenSource ออกมาได้เยี่ยมแค่ไหน แต่การทำงานในระดับองค์กรมันไม่ใช่แค่ซื้อ Software มาติดตั้งแล้วจบ มันมีทั้ง Training และ Maintainance คุณรู้มั้ยว่าค่าตัว Admin Linux  ที่ทำเซิฟได้เสถียรจริงๆ มันเท่าไหร่ต่อเดือน แทบจะซื้อ Windows มาลงได้เดือนสอง License ด้วยซ้ำ แต่ถ้าบอกว่าติดตั้งไปก่อน ค่อยมาเทรนทีหลัง แล้วค่าใช้จ่าย Man-Hour ที่เสียไประหว่างเรียนรู้ใหม่มันคุ้มกันหรือเปล่า (นี่คือเหตุผลที่ทำไมในธนาคารยังใช้ Cobol อยู่) ดังนั้นในเมืองนอก Linux ที่ประสบความสำเร็จในระดับองค์กรจะเป็น Linux แบบ "จ่ายเงิน" ครับ อย่างเช่น RedHat ใครที่คิดจะเอา Ubuntu ตัวฟรีมาทำงานในระดับองค์กรนี่คิดใหม่กันสิบตลบ ถ้า Opensource มันประหยัดค่าใช้จ่ายจริง ป่านนี้องค์กรในอเมริกาเลิกใช้ Windows กันหมดแล้วล่ะครับ ความเข้าใจที่ถูกต้องหมายเลข 1 : "Opensource ประหยัดค่าใช้จ่ายได้เฉพาะในระดับปัจเจกเท่านั้น แต่ในองค์กรกลับจะยิ่งทำให้สิ้นเปลืองมากขึ้นในระยะยาว" ถ้าภาครัฐตั้งเป้าว่าพัฒนา Linux ให้ราชการใช้ ผมว่ากว่าจะ Implemented เสร็จ เตรียมเงินไว้จัดการ Training, Maintainance, ชดเชย Man-Hour ที่สูญเสียระหว่างปรับตัว และอะไรอย่างอื่นอีกมากมายไว้ได้เลยขึ้นหลักหมื่นล้านในสามปีครับ มันผิดเป้าหมายมากที่คุณจะดัน Opensource ขึ้นมาใช้ในระดับองค์กร ในต่างประเทศเค้าก็รู้กันหมดละว่า Software License มันเกิดมาเพื่อ "ประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพในองค์กร" ถ้าคุณคิดจะไปลดประสิทธิภาพเพื่อให้ได้ชื่อว่า "ชั้นใช้ Software Free นะคะ" ผมว่าคุณกำลังลืมไปแล้วว่าตอนแรกคุณซื้อซอฟต์แวร์มาเพื่ออะไร คุณไม่ได้ซื้อเพื่อให้มีโปรแกรมใช้เท่ๆ นะครับ คุณซื้อเพราะคุณเชื่อว่าการมีซอฟต์แวร์ใช้จะทำให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพและความเสถียรในระยะยาว พูดง่ายๆ ก็คือ Software เป็นบริการที่ช่วยทำให้องค์กรมีกำไรนั่นแหละ คุณเลยซื้อ แล้วอยู่ดีๆ คุณก็ลืมจุดประสงค์แรกที่ซื้อมา บอกว่าอยากใช้ซอฟต์แวร์ฟรี ทำงานยากหน่อย ไม่เสถียรนิดหน่อย ใช้เวลาทำงานมากขึ้นหน่อยก็ช่างมัน ผมว่าคุณลืมไปแล้วจริงๆ ว่าคุณซื้อซอฟต์แวร์มาให้ทำงานง่ายขึ้น ไม่ต้องใช้กระดาษไม่ใช่เหรอ ถ้าจะดัน Linux มาใช้ระดับองค์กร คุณต้องดันให้เกิดบริษัทที่คิดจะทำ Linux Service ที่จะมาเทียบเท่าไมโครซอฟต์ได้ อย่าง RedHat อะไรแบบนี้ ไม่ใช่คุณทำโปรแกรมเสร็จแล้วจบ อันนั้นใช้ได้แค่ระดับตามบ้านเท่านั้นแหละ ถ้ามองว่าซอฟต์แวร์คือโปรแกรมแล้วจบ ไม่ต้องมีคู่มือ บริการ เทรนนิ่ง ยังไงก็ล้มเหลวครับ ในบางงานอย่าง ERP นี่เค้าตีว่าส่วนงานของการเขียนโปรแกรมให้เสร็จ มีมูลค่าและกินเวลาแค่ 10% ของโปรเจ๊กต์การสร้างซอฟต์แวร์ด้วยซ้ำ ที่ 90% เหลือคือการ "ทำยังไงก็ได้ให้องค์กรใช้งานโปรแกรมเราได้อย่างราบรื่นไม่บ่น" คนส่วนมากชอบลืมคิดตรงนี้ แล้วคิดว่าซอฟต์แวร์คือเขียนโปรแกรมแล้วจบ สุดท้ายผมจะบอกว่า ถ้า OpenSource มันฟรีแล้วดีอย่างที่ทุกคนคิด ป่านนี้ไมโครซอฟต์เจ๊งแล้วครับ ผมยอมรับมันดีในสเกลระดับใช้งานส่วนตัว แต่ในสเกลระดับองค์กรแล้ว แค่การมีปัญหาแล้วหาใครมาดูแลแบบ Backup Service ขั้นสุดท้ายไม่ได้ คุณสูญเงินเท่าไหร่ ยังไม่นับเรื่องความไม่มีมาตรฐานควบคุม มี Bug แล้วแก้ไขไม่ได้ต้องรอ Developer Community เกิดอารมณ์อยากจะแก้ขึ้นมาก่อนอีกนะเนี่ย แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 55 18:44:01 แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 55 18:38:42 จากคุณ : Mariel เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 18:36:45

ความคิดเห็นที่ 27 ใช้ Ubuntu ดีกว่าไหม สวย น่าใช้กว่า Windows เยอะเลย จากคุณ : คุณชายปลายดอย เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 21:09:43

ความคิดเห็นที่ 28 ยังมีคนเข้าใจผิดอยู่มากว่าใช้ Ubuntu, Linux แล้วเท่ คงเป็นพวกเดียวกับตากล้องฟิล์มที่ใช้ฟิล์มแล้วบอกว่าถ่ายได้ดีกว่ากล้องดิจิตอล คิดไปเองทั้งนั้น Software มันไม่มีคำว่าเท่ห์หรอกครับ หลอกตัวเองทั้งนั้น จากคุณ : yugioh2500 เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 22:03:32

ความคิดเห็นที่ 29 ก็ถ้าโปรแกรม CAD CAM และโปรแกรมด้านออกแบบอื่นๆของผม ถ้ามัน RUN บน OS  อื่นๆได้ ผมก็จะย้ายครับ แต่ตอนนี้ หลายๆโปรแกรมของผม ยังทำงานได้แค่บน Windows XP   อยากลง Windows 7   ยังลงไม่ได้เลย เพราะทำงานไม่ได้ 555   ถ้าจะเอา Win7  ก็ต้องซื้อโปรแกรมเวอร์ชั่นใหม่ๆ  เสียตังอีกเยอะ หลายล้านแลยแหละ จากคุณ : Mr. Tracker เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 22:04:03

ความคิดเห็นที่ 30 การแก้ปัญฆาเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์โดยการบอกว่าเอ็งไปใช้ Opensource แทนสิ  ผมว่ามันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุมากๆ  มันควรที่จะปลูกจิตสำนึกให้เห็นความสำคัญของลิขสิทธิ์และรู้จักจ่ายเงินซื้อมันมาใช้มากกว่า ส่วนตัวผมใช้ทั้ง Windows 7 และ Linux Mint (ส่วนทำเซิร์ฟเวอร์ผมหยิบตัวไหนก็ได้  ขอเป็นสาย Debian ก็พอ) เห็นความต่างหลายๆ อย่างของมันครับ  ซึ่งผมยังยืนยันตามเดิมเหมือนที่เคยพูดไว้ในนี้เมื่อหลายปีก่อนว่าลีนุกซ์ยังห่างไกลที่จะเอามาใช้แทน Windows ตามบ้านต่างๆได้ เอาอย่างแรกคือคอนฟิกของลีนุกซ์  เท่าที่ใช้มามันเก็บลงบนไฟล์ทั้งหมด  การแก้คอนฟิกส์ส่วนมากก็เปิดไฟล์มาแก้กัน  ระบบ GUI ที่ลีนุกซ์มีไม่สามารถตอบสนองผู้ใช้ที่ต้องการแก้คอนฟิกลึกๆ ได้  ปัญหาคือถ้าแก้ไม่ดีปุ๊บ GUI ทั้งแถบมีสิทธิ์ล้มไปทั้งหมดได้  ใสนขณะที่ Windows ยังสามารถกด Last know good configuration ให้มันพอถูกไถเข้าไปแล้ว System Restore ต่ออีกรอบยังไหว เรื่องต่อมาคือโปรแกรมทดแทน  จริงอยู่โปรแกรม Opensource มันเก่งมาก ฟีเจอร์เยอะ  ทำอะไรได้ทัดเทียมโปรแกรมแพงๆ LibreOffice, OpenOffice สามารถใช้แทน Microsoft Office สำหรับงานทั่วไปได้  แต่ข้อเสียร้ายแรงที่ไม่ค่อยมีใครคิดจะแก้ให้กับโปรแกรมพวกนี้  คือมันใช้ยากครับ  เอาง่ายๆคือโปรแกรมแต่งภาพอย่าง GIMP ใครช่วยบอกวิธี Stroke ข้อความง่ายๆแบบการใช้ Layer Style บน Photoshop ให้ผมบ้างได้มั๊ย? แถมหลายโปรแกรมนี่ต่อให้เก่ง  ก็เก่งแต่บน Terminal อีก GUI Front-end ที่ทำครอบขึ้นมา  ไม่ค่อยจะมีอะไรสมบูรณ์สักเท่าไหร่  ถามจริง  มีผู้ใช้ทั่วไปที่ไหนอยากจะนั่งพิมพ์คำสั่งบ้าง? ปัญหาต่อมาคือพวก Software Manager หรือพวก apt-get อะไรต่างๆ  ของพวกนี้ใช้งานได้สะดวกจริงๆ ครับ  ชอบมาก  แต่ปัญหาร้ายแรงของมันคือถ้ามันเกิดพังกลางทาง  คอมดับ  เผลอยกเลิก  อะไรอย่างนี้  มันอาจจะก่อปัญหาร้ายแรงถึงขั้นใช้ apt-get ต่อไปอีกไม่ได้เลยก็เป็นได้ (จริงๆมันก็แก้ได้  แต่ไม่ได้ง่ายๆเหมือนกัน) จากที่ผมใช้สาย Debian มา (ล่าสุดก็ Ubuntu Server ตัวหนึ่งของเว็บไซต์ในเครือกระทรวง ICT) ก็เจอปัญหา apt-get พัง  ผมนั่งแก้อยู่ครึ่งวันกว่ามันจะกลับมาใช้ได้ปกติ ไอ้ครั้นจะให้ไปนั่ง make เอง  ผู้ใช้ทั่วไปที่ไหนเค้าจะอยากทำกัน?  ต่างกับของฝั่ง Windows ที่มีระบบ Installer ดีๆหลายเจ้า  โปรแกรมส่วนมากลงแล้วพังกลางทาง  มันก็ยังลงใหม่ได้ (แต่เรื่องระบบติดตั้งโปรแกรมนี่ผมชอบของ OSX ที่สุดแล้ว  เมาท์ dmg แล้วลากลงเครื่องเลย) ลีนุกซ์ควรจะแก้ปัญหาพวกนี้ให้ได้เสียก่อน  ก่อนที่จะมาบุกตลาดผู้ใช้ทั่วไปครับ สำหรับองค์กร  ก็ไหนจะเรื่องซัพพอร์ต  ไหนจะเรื่องความเข้ากันได้กับซอฟต์แวร์เดิมๆ  โอย  เยอะแยะ (ย้ายจาก XP > 7 ยังจะง่ายและประหยัดกว่าในหลายๆ กรณีเลยครับ) จากใจคนที่ใช้ทั้ง Windows และ Linux เลย แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 55 22:12:45 จากคุณ : wsteven เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 22:04:05

ความคิดเห็นที่ 31 แหม พูดถึง apt-get แล้วอารมณ์ขึ้น ปกติลีนุกซ์นั้น  การติดตั้งโปรแกรม  อัพเดทโปรแกรม  ไดรเวอร์  หรือไลบรารี่ต่างๆ  ล้วนทำผ่าน apt-get ทั้งหมด  ต่อให้คุณไปใช้โปรแกรมอัพเดทแบบ GUI แต่ข้างหลังมันก็ยังเรียก apt-get ขึ้นมาทำงานอยู่ดี ปัญหาคือ apt-get นี่มันรันได้แค่ที่ละ instance เท่านั้น (มันจะสร้าง lock file ขึ้นมา  ทำให้เวลารัน instance อื่นๆ จะทำไม่ได้) จะลงโปรแกรม  จะอัพเดทไลบรารี่ อะไรพวกนี้พร้อมๆกัน  ก็ไม่ได้  เอ็งรอไปเหอะ  ในขณะที่ Windows แทบไม่มีปัญหาอะไร (แต่ก็เจออยู่บ้าง) จริงๆ มันยังมี yum ของฝั่ง RedHat (Fedora) และ pacman ของฝั่ง Arch อีก  แต่ยังไม่เคยใช้จริงๆจังๆเท่าไหร่  ใครมีประสบการณ์บ้างมั๊ยครับ? จากคุณ : wsteven เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 22:08:20

ความคิดเห็นที่ 32 คุณ Mariel ครับ Free นี่มาจากคำว่าเสรีนะครับ   เกรงว่าคุณจะเข้าใจผิดๆ โขอยู่ 1.ในภาพใหญ่ โอเพนซอร์ส เป็นแหล่งนวัตกรรมและความก้าวหน้าของซอฟต์แวร์ เช่น การพัฒนาภาษาคอมพิวเตอร์ มีการทดลองคุณสมบัติด้านภาษาใหม่ๆ โดยเฉพาะ ภาษา perl เป็นแหล่งทดลอง แนวคิดใหม่ๆทางภาษาศาสตร์ 2. ซอฟต์แวร์เสรี มีความหลากหลายสูงมาก มันไม่ใช่เรื่องแค่เรื่องปัจเจกชน เท่านั้น ยุคหลังบรรษัท IT ข้ามชาติ ก็มีส่วนพัฒนาวงการโอเพนซอร์สด้วยอย่างมาก เช่น IBM มีBusiness model ที่ทุ่มปีละหลายพันล้านดอลล่าร์เพื่อพัฒนาเครื่องมือบริหารจัดการอำนวยความสะดวกในการใช้ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สที่เป็นคอร์หลัก   กลุ่มบรรษัท IBM CISCO ORACLE DELL รวมถึงบริษัท TELCO ทั้งสองฟากฝั่งแอตแลนติกพยายามอย่างยิ่งที่จะเข้าไปมีอิทธิพลต่อการพัฒนา  Kernel ของ Linux และโครงการพัฒนานวัตกรรมซอฟต์แวร์ของมูลนิธิ APACHE  และ มูลนิธิ Mozilla นอกจากนี้ ยังมีบางประเทศที่ต้องการพัฒนาพื้นฐานทางวิศวกรรมสารสนเทศ วิศวกรรมซอฟต์แวร์  เช่น เกาหลีใต้ จีน มาเลเซีย กานา อินเดีย เวียดนาม และศรีลังกา พวกนี้จะใช้วิธีส่งนักพัฒนาเข้าร่วมโครงการ เช่น Mozilla Apache และ Business software  เพื่อจะได้เรียนลัด และท้ายสุดคือสามารถพัฒนานวัตกรรมซอฟต์แวร์และพยายามติดตามควบคุมทิศทางการพัฒนานวัตกรรมซอฟต์แวร์ระดับโลกต่อไปได้ 3. ในประเทศไทยเรา มีบริษัทเยอะแยะมากที่ ทำธุรกิจกับซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส  ที่กำฮิตตอนนี้ตามนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ก็คือให้พนักงานใช้ Linux แล้วจากนั้นใช้Terminal service ของ Windows อีกที ทำอย่างนี้เสียแค่ค่า terminal license ซึ่งถูกกว่ามาก   ไม่อย่างนั้นก็พัฒนาระบบงานเป็นเวบด้วยภาษาโอเพนซอร์สไป การสนับสนุนปัจจุบันไม่ต่างกันกับทางตระกูลไมโครซอฟต์ สุดท้ายก็ต้องพึ่งกระบวนการทำ Backup recovery พอๆกัน  การอัพเกรดก็ปัญหาไม่ได้น้อยกว่ากัน เรียกร้องค่าเสียหายอะไรไม่ได้พอๆกัน ที่เจ็บปวดมากกว่าก็คือ ต้นทุนการขยายระบบ ของตระกูล M มันกระฉูดขูดเลือดขูดเนื้อกันซิบๆ (กรณีองค์กรใหญ่) เหตุผลข้ออ้างเรื่องเสถียรหรือการ support มันเก่าไปแล้ว เพราะ IT literacy สูงขึ้น ลูกค้าแยกแยะเองได้ว่า บางระบบมันไม่จำเป็นต้องมีระดับบริการแบบ 24*7*365 และงานเอกสารในสำนักงานก็สามารถแปลงเป็น PDF ได้ก็แก้ปัญหาความเข้ากันได้ไปเยอะแล้ว มุมมองนักบริหารหรือเจ้าของกิจการ ความสะดวกสะบายของพนักงาน ไม่ได้สำคัญอันดับ 1 นะครับ ถ้าพนักงานทำงานเดิมแต่ใช้ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สแล้วใช้เวลาประมาณเท่าเดิมกับก่อนหน้า พนักงานก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธการเรียนรู้ ดังนั้น สุดท้ายมันตัดสินกันที่ราคา สำหรับองค์กรธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กในสำนักงานก็ใช้ ตระกูล Mไป  ส่วนบริการลูกค้าก็โอเพนซอร์สแน่ๆ   ทั้งหลายทั้งปวงนี้มิได้หมายความว่าผมสนับสนุน OS แห่งชาติอะไรนี่นะครับ ผมเห็นเป็นเรื่องเลอะเทอะด้วยซ้ำไป  กรณี OS แห่งชาติ มันเหมาะสมสำหรับ ประเทศที่ก้าวหน้ามากๆ มีการพัฒนาอุตสาหกรรมการประมวลผลขั้นสูง เช่นในอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ การวิจัยยา เป็นต้น งานพวกนี้จำเป็นและคุ้มค่าอย่างยิ่งที่จะพัฒนาปรับปรุงต่อ ยอด Kernel ระบบปฏิบัติการของตัวเอง จากคุณ : ไวโรจน์ เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 55 23:57:14

ความคิดเห็นที่ 33 บิลเกต มาไทยเองเลยครับ  หลังจากนั้นเหมือนว่า Licen  window สำหรับประเทศไทยจะถูกลง Opensource อย่าง Linux กำลัวรุกคืบ มาแบบเงียบๆผ่าน Android จากคุณ : Ballmakoto2 เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 55 02:22:55

ความคิดเห็นที่ 34 #32 ผมเองก็เป็น Developer เหมือนกัน ผมพอรู้อยู่แล้วครับว่า OpenSource มันมีข้อดียังไงบ้าง 1. ข้อแรกที่คุณบอกมันใช่อันนี้ผมยอมรับ คือตัวผมเองก็อยู่ใน Opensource Community เหมือนกัน ผมยอมรับว่ามันช่วยให้การพัฒนาทางซอฟต์แวร์ก้าวหน้าไปมาก ทั้ง PHP, Wordpress, Ruby หรือพวก Linux มันก็เกิดมาจาก Opensource ทั้งนั้น แล้วภาษาที่เป็น Opensource มันก็มีข้อดีหลายอย่าง ผมบอกในฐานะนักพัฒนาละกัน ในความเห็นผมคือภาษาโปรแกรมมิ่งพวก Opensource มันมีข้อดีมากในความง่ายของ structure แต่มันก็มากับข้อเสียหลายอย่างที่ผมรู้ว่าผมจะไม่เจอใน .NET หรือ Objective-C ที่เป็น Close Source อย่าง  Documentation โดยเฉพาะเรื่องของการ Configuration ของการ Deployment ทีแทบจะให้เว็บหรือคนกลางดูแลเป็นหลักไม่ได้เลย อย่างผมจะทำ Apache Tomcat, Ant หรืออะไรหลายตัว กว่าจะหาแหล่งเจอมันนานมาก ตรงข้ามผมทำ .NET แทบจะทุกอย่างเลยอยู่ใน msdn หมด (ส่วนตัวตอนนี้ผมใช้ทั้ง .NET, PHP แล้วแต่เนื้องานครับ PHP ลดเวลาการพัฒนางานขนาดเล็กได้เยอะมาก แต่พองานใหญ่ผมก็ยังชอบที่ .NET มันบังคับให้เราเขียนโค้ดดิ้งเป็นระเบียบ ส่วน PHP มันให้อิสระมากเกินไป) 2. IBM Cisco Dell ที่คุณอ้างมา เค้าลงมือพัฒนาแล้วเค้าขาย Service หรือไม่ก็เอาไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของเค้าทั้งนั้นนะครับ ผมเองไม่ได้โปรไมโครซอฟต์ที่จะบอกว่างานระดับองค์กรไม่ให้ใช้โอเพ่นซอร์สเลย แต่อย่างที่ผมบอกแต่แรก คือถ้าจะใช้ในงานระดับองค์กร คุณต้องสร้างทีมเซอร์วิซ และมันก็เสียเงินอยู่ดี ผมถึงได้บอกว่าถ้าจะเอาจริงๆ คุณต้องสร้างองค์กรอย่าง RedHat ขึ้นมา ไม่ใช่คิดว่าทำลินุกซ์แล้วก็จบ ปล่อยให้การบริการ เอกสารคู่มือ ให้ผู้ใช้เรียนรู้กันเองแบบตามมีตามเกิด (Developer ส่วนมากคิดยังงี้จริงๆ ซึ่งคิดผิดมากๆ บริษัทเจ้าใหญ่บางเจ้าแทบจะไม่ยอมให้ดัดแปลง Product ตาม Requirement ลูกค้าเลย แต่เน้นที่การสอนให้ลูกค้าเข้าใจและจัดทำ Intensive Training Course มากกว่าที่จะให้โปรแกรมเมอร์แก้โปรแกรมให้ใช้ง่ายด้วยซ้ำ พวกทีม Developer หลายคนตีค่าความสำคัญตรงนี้ต่ำไป) สรุปคือผมไม่ได้บอกว่าโอเพ่นซอร์สห่วยกว่าไมโครซอฟต์ แต่ผมบอกว่าถ้าคุณบอกให้องค์กรหันมาใช้โอเพ่นซอร์สเพราะว่า "มันฟรี" คุณคิดผิดแต่แรกแล้วครับ ไอ้ที่คุณยกมาทุกเจ้าน่ะเค้าลงทุนแล้วเค้าเอาไปทำ Product ต่อหมด ไม่มีใครให้ฟรีๆ หรอก ผมสนับสนุนถ้าใครจะมาลงทุนเข้ามาใน Opensource Community แต่ถ้าองค์กรไหนคิดว่า Opensource = Free Software ในระดับองค์กร ผมว่าเค้าคิดผิดมาแต่แรกแล้ว 3. อันนั้นมันก็ขึ้นกับความเหมาะสมไงครับ ถ้าเค้าทำแล้วคุ้มก็ทำไป แต่ส่วนมากทำแล้วไม่คุ้มครับ มันก็แล้วแต่โอกาสจังหวะและแต่วัฒนธรรมขององค์กรแต่ละที่ ถ้าคุณเจอ Admin มือดีราคาถูกก็ดีไปครับ แต่หลายที่พยายามเปลี่ยนเป็นลินุกซ์ก็จะติดเรื่องแอดมินเนี่ยแหละ คนที่ไว้ใจได้นี่ค่าตัวแพงชนิดที่ว่าไปนั่งซื้อ License Windows ได้เดือนละสองเครื่องยังมีเลย ประเด็นที่ผมจะบอกคือ ถ้าคุณคิดว่า Opensource มันดีที่ฟรี คุณคิดผิดมาแบบสุดๆ มาก เอาจริงๆ ใน Opensource Community ส่วนมากที่เติบโตได้ก็ตือมีเม็ดเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง Linux ที่โตจริงๆ ก็ต้องเป็นเจ้าที่ขาย Service กินยาวแหละครับ ผมไม่รังเกียจ Opensource เลย แต่ผมว่าคนไทยเข้าใจผิดกันเยอะมาก คิดว่าซอฟต์แวร์ Opensource มันเป็นของฟรี ถ้าคิดแบบนั้นองค์กรคุณได้มีปัญหาค่าใช้จ่ายตามหลังเพิ่มมาอีกบานเลยแน่นอนครับ แต่ถ้าคุณใช้ Opensource เพราะมันคุ้มค่าแล้วเหมาะ ช่างน้ำหนักมากันแล้ว อันนี้มันก็ดีครับ แต่สุดท้ายในระดับองค์กร คุณต้องไม่ลืมจุดประสงค์ว่าซอฟต์แวร์น่ะมันเกิดขึ้นมาเพื่อช่วยลด Operational Cost คุณยอมซื้อมันมาเพราะหวังว่ามีแล้วจะเพิ่มประสิทธิภาพให้พนักงานได้ แล้วมันจะตลกมากถ้าคุณยอมเพิ่ม Operational Cost เพื่อหันมาลดค่าใช้จ่ายในซอฟต์แวร์??? ดังนั้นถ้าคุณจะผลักให้ Opensource มันไประดับองค์กร ก็อย่างที่ผมพูด คุณต้องสร้างทีมสร้างบริษัทเซอร์วิซที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในองค์กรได้ ไม่ใช่แค่เขียนโปรแกรมทำ Kernel เทพๆ แล้วก็ปล่อยจบภูมิใจอยู่คนเดียว แล้วก็มานั่งบ่นว่าทำไมคนไปใช้ของแพงเป็นแสนที่มันห่วยกว่า เค้าใช้เพราะโปรแกรมที่ห่วยกว่า Safe Cost เค้าได้ดีกว่าไงครับ ส่วนตัวผมว่า Developer หลายคนยังมอง Nature ของ Software Business ในระดับองค์กรไม่ออกเลย มันมีเหตุผลอยู่ว่าทำไม Opensource บูมขนาดนี้แล้วไมโครซอฟต์ Oracle SAP ถึงยังรวยเอาๆ ถ้าจะอ้างว่าของไทยใช้ละเมิดลิขสิทธิ์ แล้วทำไมตลาดอเมริกาไมโครซอฟต์ก็ยังครอง ทำไม SAP ถึงยังเป็นเจ้า ERP อยู่ได้ในขณะที่ Opensource ERP ที่เก่งกว่าเกิดขึ้นเร็วยังกับดอกเห็ด อ้อ SAP ก็เกิดมาจาก Opensource เหมือนกัน แต่แปลกมั้ยที่ว่าพอหันมาทำ Commercial ขายหลักสิบล้านถึงร้อยล้าน กลับทำให้คนนิยมมากกว่าเดิมอีกจากที่เคยแข่งกับ Compiere หรืออะไรพวกนี้ก็กลายเป็นกินขาดอยู่เจ้าเดียว เข้าสูตร "ซอฟต์แวร์ยิ่งแพง ยิ่งประหยัด" Why Free Linux is more expensive แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 55 02:59:42 แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 55 02:56:58 แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 55 02:43:15 แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 55 02:35:55 จากคุณ : Mariel เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 55 02:33:54

ความคิดเห็นที่ 35 ว้าววว   เยี่ยมเลย จากคุณ : pedpukking เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 55 08:24:55

ความคิดเห็นที่ 36 คำว่า " F R E E " มันถูกแปลผิดๆไงครับ เหมือนที่แปล " Objective " ไงครับ ส่วนใหญ่จะทึกทักเอาเอง โดยไม่คิดจะค้นคว้าหาว่า นิยาม ที่ ถูกต้องคืออะไร หากนิยาม คำว่าฟรี ได้ถูกต้อง มันก็คิดการต่อได้ มองแนวทางได้เป็นฉากๆ เหมือนที่ #32 กล่าวไว้แหละครับ พวกบริษัท ซอฟท์แวร์ ใหญ่ๆทั้งหลายแหล่ เขานิยาม ถูก เขาก็มองเห็นช่องทางทางการตลาด และอนาคต ของมัน เมื่อเห็นก็โดดลงมาเล่น เรื่องนี้ผมพูดที่อื่นมาหลายสิบปีแล้ว เบื่อแล้ว แค่อยากจะบอกว่า เห็นด้วยกับ #32 ทุกประเด็นครับ แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 55 10:09:28 จากคุณ : srich เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 55 10:09:01

ความคิดเห็นที่ 37 ผมว่า Ubuntu มันอ้วนเกินไปครับ จับพวกที่กินแรง Hardware น้อยๆ มาโมเจ๋งๆ ดีกว่า อันที่จริงเทคโนโลยีตอนนี้  กับตัวงาน Output ไม่ค่อยหนีกันเท่าไหร่แล้วครับ เรื่อง Application ถ้าเ้น้นไปทาง Webbased อะไรๆ ก็จะง่ายขึ้น PC - Tablet - Smartphone สั่งงานได้เหมือนกัน ทำให้ประเด็น OS กลายเป็นเรื่องไม่สำคัญ อะไรก็ได้ .. จากคุณ : อั๋น ทรงวุฒิ เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 55 21:01:08