พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท เป็นพระที่นั่งศิลปกรรมแบบไทยและฝรั่งเศสผสมกัน
เดิมเป็นท้องพระโรงมียอดแหลมทรงมณฑป ตรงกลางท้องพระโรงมีสีหบัญชร เป็นที่เสด็จออกเพื่อทรงมีพระราชปฏิสันถารกับผู้เข้าเฝ้า
ฝาผนังประดับด้วยกระจกเงา ซึ่งนำมาจากประเทศฝรั่งเศส ประตูและหน้าต่างท้องพระโรงซึ่งอยู่ด้านหน้าทำเป็นโค้งแหลม
ส่วนตัวมณฑปซึ่งอยู่ด้านหลังทำประตูหน้าต่างเป็นซุ้มแบบไทย คือ ซุ้มเรือนแก้วฐานสิงห์
ผนังด้านนอกพระที่นั่งตรงมณฑปชั้นล่างเจาะเป็นช่องโค้งแหลมไว้สำหรับวางตะเกียง
ซึ่งจะเห็นได้อีกเป็นจำนวนมากตามซุ้มประตูและกำแพงของพระราชวัง สมเด็จพระนารายณ์เคยเสด็จออกรับคณะราชทูตฝรั่งเศส
เชอวาเลีย เดอ โชมองต์ ที่พระที่นั่งองค์นี้ในปี พ.ศ. 2228 ด้วย
พระที่นั่งจันทรพิศาล สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2208 เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนารายณ์ฯ
ที่สร้างทับลงไปบนรากฐานเดิมของพระที่นั่งซึ่งพระราเมศวรโอสรองค์ใหย๋ของพระเจ้าอู่ทอง
ได้ทรงสร้างเมื่อครั้งครองเมืองลพบุรี พระที่นั่งองค์นี้เป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยแท้
ด้านหน้ามีมุขเด็จ ภายหลังเมื่อได้สร้างพระที่นั่งสุทธาสวรรค์ขึ้น สมเด็จพระนารายณ์ฯ
ทรงย้ายไปประทับที่พระที่นั่งองค์ใหม่ และโปรดให้ใช้พระที่นั่งจันทรพิศาลเป็นที่ออกขุนนาง
ซึ่งตรงกับบันทึกของชาวฝรั่งเศสว่าเป็นหอประชุมองคมนตรี ในสมัยรัชกาลที่
4 ทรงบูรณะพระที่นั่งองค์นี้ตามแบบของเดิม ปัจจุบันใช้จัดแสดงเรื่องราวพระราชประวัติของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและงานประณีตศิลป์สมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์
พระที่นั่งสุทธาสวรรค์ เป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของสมเด็จพระนารายณ์สมเด็จพระนารายณ์ฯ
ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน บันทึกของชาวฝรั่งเศสกล่าวว่า พระที่นั่งองค์นี้ตั้งอยู่ในพระราชอุทยานที่ร่มรื่น
ทรงปลูกพรรณไม้ต่างๆ ด้วยพระองค์เอง หลังคาพระที่นั่งมุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง
ที่มุมทั้งสี่ มีสระน้ำใหญ่สี่สระ เป็นที่สรงสนานของพระเจ้าแผ่นดิน สมเด็จพระนารายณ์ฯ
สวรรคต ณ พระที่นั่งองค์นี้ใน พ.ศ.2231
ตึกพระเจ้าเหา ตั้งอยู่ทางด้านใต้ของเขตพระราชฐานชั้นนอก
ตึกหลังนี้แสดงให้เห็นถึงลักษณะสถาปัตยกรรมสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ ได้อย่างชัดเจนมาก
เป็นตึกที่สร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 10 เมตร ยาว 20 เมตร ยกพื้นสูงขึ้นไปประมาณ
1 เมตร ตัวตึกเป็นรูปทรงไทย ฐานก่อด้วยศิลาแสง และจึงก่ออิฐขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง
ปัจจุบันเหลือแต่ผนังประตูหน้าต่าง ทำเป็นซุ้มเรือนแก้วฐานสิงห์ ปัจจุบันคงปรากฏลายให้เห็นอยู่
ด้วยเหตุว่าภายในตึกมีฐานชุกชีปรากฏให้เห็นอยู่และชาวฝรั่งเศสได้ระบุว่าเป็นวัด
จึงสันนิษฐานว่าเป็นหอพระประจำพระราชวัง ตึกพระเจ้าเหาหรือ พระเจ้าหาว
(หาว=ท้องฟ้า-ภาษาไทยโบราณ) ในตอนปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ พระเทพราชา
และขุนหลวงสรศักดิ์ใช้ตึกพระเจ้าเหาเป็นที่นัดแนะประชุมขุนนางและทหารเพื่อแย่งชิงราชสมบัติขณะที่สมเด็จพระนารายณ์ฯ
ทรงพระประชวรหนัก
ตึกรับรองคณะทูตต่างประเทศ ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก
บันทึกของชาวฝรั่งเศสกล่าวว่า ตึกหลังนี้อยู่กลางอุทยาน ซึ่งแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมจัตุรัส
รอบตึกมีคูน้ำล้อมรอบ ภายในคูน้ำมีน้ำพุเรียงรายได้ระยะยาว 20 แห่ง สมเด็จพระนารายณ์ฯ
ได้พระราชทานเลี้ยงแก่คณะทูตจากประเทศฝรั่งเศส ณ สถานที่นี้ใน พ.ศ. 2228
และ พ.ศ. 2230
พระคลังศุภรัตน์ (หมู่ตึกสิบสองท้องพระคลัง)
เป็นหมู่ตึกตั้งอยู่ระหว่างถังเก็บน้ำประปาและตึกซึ่งใช้เป็นสถานที่
พระราชทานเลี้ยงชาวต่างประเทศ สร้างขึ้นอย่างมีระเบียบด้วยอิฐเป็น 2
แถวยาวเรียงชิดติดกัน อาคารมีลักษณะค่อนข้างทึบ มีถนนผ่ากลาง มีจำนวนรวม
12 หลัง เข้าใจว่าเป็นคลังเพื่อเก็บสินค้า หรือเก็บสิ่งของเพื่อใช้ในราชการ
อ่างซับเหล็ก หรืออ่างซับเหล็กหรือถังเก็บน้ำ
อยู่ในเขตตำบลนิคมสร้างตนเองห่างจากศาลากลางจังหวัดไปทางทิศตะวันออกประมาณ
16 กิโลเมตร อ่างซับเหล็กเป็นอ่างเก็บน้ำธรรมชาติที่มีมาแต่โบราณ ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ฯ
ทรงโปรดให้ช่างชาวฝรั่งเศสและชาวอิตาเลียนเป็นผู้วางท่อส่งน้ำจากอ่างซับเหล็กนำมาใช้ในเขตพระราชฐาน
อ่างซับเหล็กมีเนื้อที่ประมาณ 1,760 ไร่ เมื่อปี พ.ศ. 2497 สมัยจอมพล
ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ให้สร้างเขื่อนดินกั้นน้ำเพื่อเก็บน้ำไว้ใช้เพื่อการเกษตร
ต่อมาในปี พ.ศ. 2520 จังหวัดลพบุรีได้ปรับปรุงอ่างซับเหล็กให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ
โดยทำถนนรอบอ่างเก็บน้ำ ปลูกต้นไม้และสร้างศาลาพักร้อน
โรงช้างหลวง ตั้งเรียงรายเป็นแถวชิดริมกำแพงเขตพระราชฐานชั้นนอกด้านในสุด
โรงช้างส่วนใหญ่ปรักหักพังเหลือแต่ฐานปรากฎให้เห็นประมาณ 10 โรง ช้างซึ่งยืนโรงในพระราชวัง
คงเป็นช้างหลวงหรือช้างสำคัญ สำหรับใช้เป็นพาหนะของสมเด็จพระนารายณ์ฯ
เจ้านายหรือขุนนางชั้นผู้ใหญ่
พระที่นั่งและตึกซึ่งสร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
หมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ
ให้สร้างหมู่พระที่นั่งองค์นี้ขึ้นใน พ.ศ. 2405 ประกอบด้วยพระที่นั่งต่างๆ
คือ มุขด้านซ้ายมือ พระที่นั่งอักษรศาสตราคมเป็นที่ทรงพระอักษร มุขด้านขวามือคือพระที่นั่งไชยศาสตรากร
เป็นที่เก็บอาวุธ พระที่นั่งองค์ขวางตรงกลาง คือพระที่นั่งวิสุทธิวินิจฉัย
ใช้เป็นท้องพระโรงเสด็จออกว่าราชการ ด้านหลังสุดเป็นอาคารสูง 3 ชั้น
คือ พระที่นั่งพิมานมงกุฎ เป็นที่ประทับส่วนพระองค์
หมู่ตึกพระประเทียบ ตั้งอยู่บริเวณหลังพระที่นั่งพิมานมงกุฎ
ซึ่งเป็นเขตพระราชฐานฝ่ายใน ก่อด้วยอิฐถือปูนสูง 2 ชั้น เรียงรายอยู่
8 หลัง สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักของข้าราชการฝ่ายใน
ทิมดาบหรือที่พักของทหารรักษาการณ์
เมื่อเดิน ผ่านประตูทางเข้าเขตพระราชฐานชั้นกลาง ข้างประตูทั้งสองด้านตรงบริเวณสนามหญ้าจะแลเห็น
ศาลาโถงข้างละหลัง นั่นคือตึกซึ่งสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่พักของทหารรักษาการณ์ในเขตพระราชวัง
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์
ได้มีการจัดตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขึ้นในพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์
นับเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติแห่งที่
3
ที่ได้ตั้งขึ้นในประเทศไทย
แห่งแรกนั้นคือ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
แห่งที่ 2 คือ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจันทรเกษม
พระนครศรีอยุธยา แห่งที่ 3
คือ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ฯ
ลพบุรี
ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2466
อาคารจัดแสดงศิลปโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ฯ
จัดแบ่งออกเป็นห้องต่าง ๆ
ดังนี้
ห้องพระที่นั่งจันทรพิศาล
เป็นลักษณะสถาปัตย
กรรมแบบทรงไทย
จัดแสดงเรื่องประวัติศาสตร์
การเมือง สังคม วัฒนธรรม
และพระราชประวัติของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ห้องหมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎ
เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมผสมแบบตะวันตก
จัดแสดงเรื่องสมัยก่อนประวัติศาสตร์
จัดแสดงหลักฐานโบราณวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่พบจากแหล่งโบราณคดีลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
บริเวณภาคกลางของประเทศไทยและแหล่งโบราณคดี
จังหวัดลพบุรี
โครงกระดูกมนุษย์
ภาชนะดินเผา เตาดินเผา
เครื่องมือเครื่องใช้ทำจากโลหะ
ภาชนะสำริด
เครื่องประดับทำจากหินและเปลือกหอย
เป็นต้น
ห้องภาคกลางประเทศไทย
พ.ศ.800-1500
รับอิทธิพลวัฒนธรรมของอินเดียที่เรียกว่า
สมัยทวารวดี
จัดแสดงเรื่องการเมือง
การตั้งถิ่นฐาน
เทคโนโลยีและการดำเนินชีวิต
อักษร ภาษา ศาสนสถาน
ศาสนาและความเชื่อถือ
หลักฐานที่พบได้แก่
พระพุทธรูป
พระพิมพ์ดินเผา
เหรียญตราประทับดินเผา
จารึกภาษาบาลี สันสกฤต
และรูปเคารพต่าง ๆ
ห้องอิทธิพลศิลปะเขมร -
ลพบุรี
ที่พบในภาคกลางของประเทศไทย
อายุราวพุทธศตวรรษที่ 15 - 18
จัดแสดงหลักฐานทางประวัติศาสตร์
โบราณคดีสมัยชนชาติขอมแผ่อิทธิพลเข้าปกครองเมืองลพบุรี
และบริเวณภาคกลางของประเทศไทย
ได้แก่ ทับหลัง
พระพุทธรูปปางนาคปรก
พระพุทธรูปปางประทางอภัย
เป็นต้น
ห้องประวัติศาสตร์ศิลปะในประเทศไทย
ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12 - 18
ศิลปกรรมที่พบตามภาคต่าง
ๆ ของประเทศไทย
ได้แก่พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
พระพิมพ์
และพระพุทธรูปสำริดสมัยต่าง
ๆ
ห้องประวัติศาสตร์ศิลปกรรมสมัยอยุธยา
- รัตนโกสินทร์
ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 18 -24
ได้แก่ พระพุทธรูป
เครื่องถ้วย เงินตรา อาวุธ
เครื่องเงิน เครื่องทอง
และชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมปูนปั้น
และไม้แก่สลักต่าง ๆ
ห้องศิลปะร่วมสมัย
จัดแสดงภาพเขียนและภาพพิมพ์ศิลปะร่วมสมัยของศิลปินไทย
ห้องประวัติศาสตร์
การเมือง สังคม
วัฒนธรรมและพระราชประวัติของสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่ 4) ซึ่งโปรดฯ
ให้และสร้างพระราชวัง ณ
เมืองลพบุรี เมื่อ พ.ศ.2399
ได้แก่ ภาพพระสาทิสลักษณ์
ฉลองพระองค์ เครื่องใช้
แท่นบรรทม เหรียญทอง
และจานชามมีสัญลักษณ์มีรูปมงกุฎตราประจำพระองค์
เป็นต้น
ห้องหมู่ตึกพระประเทียบ
เป็นอาคารลักษณะสถาปัตยกรรมผสมแบบตะวันตก
จัดแสดงเรื่องชีวิตไทยภาคกลาง
การดำรงชีวิต
ที่อยู่อาศัย เครื่องมือ
เครื่องใช้ประกอบอาชีพประมง
การเกษตร
และศิลปหัตกรรมพื้นบ้านของคนไทยในภาคกลาง
โดยเฉพาะจังหวัดลพบุรีที่ใช้ในอดีตจรถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้ทางพิพิธภัณฑ์ฯ
ยังมีการจัดนิทรรศการเกี่ยงกับประวัติศาสตร์
โบราณคดี
และศิลปวัฒนธรรมให้ชมกันเป็นครั้งคราว
การเข้าชม
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ฯ
เปิดให้เข้าชมทุกวัน
ตั้งแต่เวลา 8.30 - 16.30 น.
หยุดวันจันทร์ -
วันอังคารและวันหยุดนักขัตฤกษ์
การเข้าชมผู้เข้าชมจะต้องเสียค่าเข้าชม
ชาวไทยคนละ 10 บาท
ชาวต่างประเทศ 30 บาท
สำหรับนักเรียน
นักศึกษาและพระภิกษุ
สามเณรไม่ต้องเสียค่าเข้าชม
ติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
สมเด็จพระนารายณ์
ถนนสรศักดิ์ อำเภอเมือง
จังหวัดลพบุรี 15000 โทร. (036)
411458
หมู่บ้านดินสอพอง (ทำดินสอพอง)
อยู่ที่บ้านหินสองก้อน
ตำบลถนนใหญ่
ใช้เส้นทางไปอำเภอบ้านหมี่
ข้ามสะพาน 6
แล้วเลี้ยวซ้ายเลียบคลองชลประทาน
เป็นหมู่บ้านที่มีการทำดินสอพองกันแทบทุกครัวเรือน
และบริเวณนั้นจะมีดินสีขาว
เรียกว่า ดินมาร์ล
ซึ่งเป็นดินที่มีคุณสมบัติเฉพาะสำหรับการทำดินสอพอง
วัดยาง ณ รังสี และพิพิธภัณฑ์เรือพื้นบ้าน
ตั้งอยู่หมู่ 2 ตำบลตะลุง
อำเภอเมืองลพบุรี
ริมฝั่งแม่น้ำลพบุรีด้านตะวันตก
ด้านหน้าติดทางหลวงสายลพบุรี
- บางปะหัน
อยู่ห่างจากตัวเมืองไปทางทิศใต้ประมาณ
9 กิโลเมตร เดิมเรียกว่า
วัดพญายาง
เนื่องจากภายในบริเวณวัดมีต้นยางยักษ์ใหญ่ตระหง่านเป็นสัญลักษณ์ท่ามกลางดงต้นยาง
สันนิษฐานกันว่าเดิมเป็นวัดโบราณอยู่กลางป่า
น่าจะมีอายุตั้งแต่สมัยละโว้
เพราะมีประติมากรรมหินทรายประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถของวัด
คือ พระพุทธรูปปางนาคปรก
2 องค์
พระพุทธรูปปางมารวิชัย 1
องค์
และพระพุทธรูปปางสมาธิ 1
องค์
เป็นเนื้อหินทรายและหินหนุมาน
(หินสีเขียว)
รูปทรงเป็นแบบสมัยของเรืองอำนาจ
ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่และเปลี่ยนชื่อใหม่ถึง
2 ครั้ง
เดิมเป็นวัดยางศรีสุธรรมาราม
แล้วเปลี่ยนเป็นวัดยาง ณ
รังสี จนถึงปัจจุบัน
พิพิธภัณฑ์เรือพื้นบ้าน ตั้งอยู่ที่ศาลากลางเปรียญไม้
สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2470
ตั้งอยู่ริมแม่น้ำลพบุรี
เป็นสถาปัตยกรรมแบบศาลาวัดในชนบทของภาคกลางในประเทศไทย
ซึ่งนับวันจะหาดูได้ยาก
ต่อมาได้มีการบูรณะซ่อมแซมแล้วเสร็จในปี
พ.ศ.2531
โครงการพิพิธภัณฑ์เรือพื้นบ้านจึงได้เกิดขึ้น
และนับเป็นพิพิธภัณฑ์เรือพื้นบ้านแห่งแรกของประเทศไทย
วัดตองปุ หลังโรงเรียนพิบูลวิทยาลัย
ตำบลทะเลชุบศร
เป็นวัดเก่าแก่ที่มีความสำคัญวัดหนึ่ง
ในอดีตเคยเป็นที่ชุมนุมกองทัพไทย
ในวัดตองปุนี้มีโบราณสถานและโบราณวัตถุที่น่าสนใจหลายอย่าง
เช่น พระอุโบสถ วิหาร
หอไตร คลัง และหอระฆัง
ล้วนเป็นสถาปัตยกรรมในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ
ภายในพระวิหารมีจิตรกรรมฝาผนังเขียนรอบทั้งสี่ด้านล้วนเป็นภาพที่หาดูได้ยาก
นอกจากนี้ยังมีเจดีย์ลักษณะคล้ายกับเจดีย์หลวงพ่อแสง
วัดมณีชลขัณฑ์แต่มีขนาดเล็กกว่า
และสัดส่วนงดงาม
วัดสิริจันทรนิมิตรวรวิหาร
(วัดเขาพระงาม)
ตั้งอยู่ห่างจากศาลากลางจังหวัดลพบุรีไปทางทิศเหนือตามถนนพหลโยธินไปประมาณ
12 กิโลเมตร
อยู่ในเขตตำบลเขาพระงาม
วัดเขาพระงามนี้เดิมเป็นวัดร้าง
สร้างมาแต่เมื่อใดไม่มีปรากฏ
ต่อมาในปี พ.ศ.2455
พระอุมาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์
สิริจันโท)
เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส
กรุงเทพฯ
กับพระสงฆ์อีกรูปได้ธุดงค์มาพักที่วัดนี้
เห็นว่ามีภูมิประเทศดี
จึงได้สร้างพระพุทธรูปที่มีหน้าตักกว้าง
11 วา
สูงจากหน้าตักถึงยอดพระเศียร
18 วา
เส้นพระศกทำด้วยไหกระเทียม
เมื่อสร้างเสร็จได้ถวายพระนามว่า
พระพุทธนฤมิตรมัธยมพุทธกาล
ครั้นภายหลังซ่อมเมื่อปี
พ.ศ.2469
จึงเปลี่ยนนามใหม่ว่า พระพุทธปฏิภาคมัธยมพุทธกาล
บริเวณวัดมีกิจกรรมที่กำลังเป็นที่สนใจของคนทั่วไปคือ
การขายพลอยสีต่าง ๆ
ที่เจียรไนจากหินควอท์ซึ่งขุดได้จากบริเวณเขาพระงาม
เรียกว่า เพชรพระงาม
ราคาพอสมควรที่นักท่องเที่ยวทุกระดับจะซื้อเป็นของที่ระลึกได้
ปัจจุบันมีแผงขายเพชรพระงามตั้งอยู่บริเวณลานหน้าวัด
วัดเวฬุวัน (วัดเขาจีนแล)
อยู่ในหุบเขาจีนแล
ตำบลนิคมสร้างตนเอง
อยู่ห่างจากศาลากลางจังหวัดลพบุรีประมาณ
18 กิโลเมตร
ทางเข้าเป็นถนนราดยางสภาพดี
เดิมบริเวณที่ตั้งวัดนี้เป็นป่าทึบเต็มไปด้วยต้นไผ่
พระครูอุบาลี
ธรรมมาจารย์ (หลวงพ่อลี)
ได้ธุดงค์มาถึงที่นี่เห็นภูมิประเทศเหมาะสมจึงได้ตั้งสำนักสงฆ์ขึ้น
วัดเขาจีนแลเป็นวัดที่สร้างขึ้นใหม่
สถานที่ร่มรื่น
มีภูเขาล้อมรอบสี่ด้าน
เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ
2 องค์ คือ
พระพุทธรูปใหญ่ที่หลวงพ่อลีสร้าง
และพระพุทธรูปที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาล
ปัจจุบันทรงสร้างประดิษฐานอยู่บนยอดเขา
มีโบสถ์รูปทรงแปลก
จั่วเป็นซุ้มกุทุแบบอินเดีย
รวมถึงหอสมุดและสำนักชี
วัดสุวรรณคีรีปิฎก (วัดเขาตะกร้า)
ตั้งอยู่เลยอ่างซับเหล็กเข้าไปมีถนนโรยกรวดเข้าไปถึงวัด
ใกล้กับวัดเวฬุวัน
ตำบลนิคมสร้างตนเอง
สร้างมาตั้งแต่ พ.ศ. 2501
โดยหลวงพ่อบุญเหลือ
ปภาโส
เป็นวัดที่สร้างกุฏิและวิหารเกาะกับภูเขา
มีเจดีย์สร้างใหม่องค์หนึ่งลักษณะงดงามดี
วัดนี้ชาวไทยเชื้อสายจีนนิยมไปสักการะศพหลวงพ่อบุญเหลือ
ซึ่งมรณภาพไปตั้งแต่ พ.ศ.
2517
เก็บไว้ในหีบแก้วแต่ไม่เน่าเปื่อยเพียงแต่แห้งไป
บ้านท่ากระยาง (หล่อรูปโลหะและดินสอพอง)
อยู่ในเขตอำเภอเมืองลพบุรี
หลังวัดตองปุ
เดิมเป็นหมู่บ้านช่างหล่อ
มีอาชีพหล่อพระพุทธรูปด้วยโลหะ
ต่อมาเริ่มหล่อรูปโลหะอื่นๆ
เป็นประเภท
ของที่ระลึกและเลียนแบบของเก่าด้วย
เช่น
รูปสัตว์ประจำปีนักษัตริย์
รูปหนุมาน เทวรูปพระกาฬ
ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีการทำดินสอพองเม็ดเล็กแบบเก่าอีกด้วย
ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดลพบุรี ตั้งอยู่ภายในบริเวณสถาบันราชภัฏเทพสตรีลพบุรี
มีหน้าที่ทะนุบำรุงส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทย
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี
ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดศูนย์วัฒนธรรมนี้เมื่อวันที่
18 ตุลาคม 2524
ภายในหอวัฒนธรรมได้จัดนิทรรศการเกี่ยวกับจังหวัดลพบุรีหลายด้าน
เช่น แผนที่จังหวัด ตำนาน-นิทานพื้นบ้าน
แผนที่ทางภาษา
นอกจากนั้นยังเก็บรวบรวมและจัดแสดงเอกสารโบราณที่พบในจังหวัดอีกด้วย
สถานที่น่าสนใจ
ในเขตอำเภอบ้านหมี่
วัดเขาวงกต ตั้งอยู่ที่เชิงเขาสนามแจง
ตำบลสนามแจง ห่างจากตัวอำเภอบ้านหมี่ ประมาณ 4 กิโลเมตร เป็นวัดที่อยู่ในวงล้อมของภูเขาสามด้าน
บริเวณกว้างขวางถึง 30 ไร่ บนไหล่เขาด้านทิศตะวันตกมีพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่
ถัดลงมามีศาลาเก็บศพหลวงพ่อเจริญ ดิสสวัณโณ อดีตเจ้าอาวาส ซึ่งมรณภาพไปแล้วตั้งแต่
พ.ศ. 2506 แต่ศพไม่เน่าเปื่อย หน้าวัดมีเจดีย์สร้างอยู่บนเรือสำเภา อนุสรณ์ของหลวงพ่อเภาผู้สร้างวัดนี้
สิ่งที่น่าสนใจมากคือ ถ้ำค้างคาว ซึ่งอยู่บนไหล่เขาเหนือพระอุโบสถ นับว่าเป็นถ้ำค้างคาวที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดลพบุรี
ภายในถ้ำมีค้างคาวนับล้านๆ ตัว รายได้จากค่ามูลค้างคาวที่เข้าวัดแต่ละปีเป็นเงินหลายหมื่นบาท
ทุกวันตั้งแต่เวลาประมาณ 18.30 น. ค้างคาวจะพากันบินออกจากปากถ้ำไปหากิน
ยาวเป็นสายคล้ายควันไฟ การบินออกหากินนี้จะติดต่อกันไปไม่หยุดจนกระทั่งถึงเวลาประมาณ
22.00 น. และจะเริ่มกลับเข้าถ้ำตั้งแต่เวลาประมาณ 03.00 น. จนถึงประมาณ
06.00 น. จึงจะหมด
วัดธรรมิการาม หรือวัดค้างคาว
ตั้งอยู่ริมลำน้ำบาง ฝั่งตะวันตก ตำบลบางขาม เหตุที่ชื่อวัดค้างคาวเพราะว่าเดิมมีค้างคาวอาศัยอยู่มาก
ปัจจุบันไม่มีแล้วและได้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า วัดธรรมิการาม เป็นวัดเก่าแก่อยู่ริมฝั่งคลองในหมู่ไม้ร่มรื่น
สามารถเข้าได้ 2 ทาง ทางรถเข้าได้จากบริเวณใกล้ทางเข้าวัดไลย์ (อำเภอท่าวุ้ง)
ทางเท้าเข้าผ่านหมู่บ้านเดินข้ามสะพานไม้เข้าไป ซึ่งบรรยากาศดีมาก ในวัดมีวิหารเก่า
มีจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างพื้นบ้าน ศาลาการเปรียญและศาลาท่าน้ำมีลวดลายฉลุไม้ประดับและสิ่งที่น่าชมของวัดนี้คือ
มีภาพเขียนที่ผนังโบสถ์ ซึ่งเป็นภาพเขียนเรื่องพุทธประวัติทั้ง 4 ด้าน
ลักษณะของภาพเขียนมีลักษณะแบบตะวันตกเข้ามาปนบ้างแล้ว เช่นการแรเงาต้นไม้
และอื่นๆ เป็นภาพเขียนในสมัยรัชกาลที่ 4 ฝีมือช่างพื้นบ้าน แต่งามกว่าที่วิหาร
วัดกัทลีพนาราม หรือวัดบ้านกล้วย
อยู่ห่างจากตลาดบ้านหมี่ ตามถนนสายบ้านหมี่โคกสำโรง ประมาณ 2 กิโลเมตร
อยู่ในเขตตำบลบ้านกล้วย อำเภอบ้านหมี่ เดิมชื่อว่า วัดบ้านกล้วย ต่อมาวัดนี้เปลี่ยนชื่อเป็น
วัดกัทลีพนาราม สิ่งที่น่าสนใจของวัดนี้ คือ มีพระอุโบสถขนาดใหญ่แบบจตุรมุขที่สวยงาม
เป็นวัดสำคัญของชุมชนชาวไทยพวน อำเภอบ้านหมี่ นอกจากโบสถ์ทรงจตุรมุขซึ่งสร้างใหม่แล้ว
ยังมีวิหารเก่าแก่หลังเล็กและเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง รูปทรงงดงามทั้งสองสิ่ง
ศาลาการเปรียญมีลวดลายฉลุไม้ตกแต่งสวยงาม ภายในมีธรรมาสน์เก่าและประดับเครื่องแทนเป็นพุทธบูชาแบบของชาวไทยพวน
คือ ธงแว่น หลายพวง
วัดเชียงงา ตั้งอยู่เหนือตัวตลาดบ้านหมี่ขึ้นไปเล็กน้อย
ตำบลเชียงงา อำเภอบ้านหมี่ วัดนี้คาดว่าคงจะสร้างขึ้นตั้งแต่ครั้งที่ชาวพวนได้อพยพมาตั้งหลักแหล่งที่ตำบลนี้
สถานที่น่าสนใจของวัดนี้คือเจดีย์เก่าองค์หนึ่ง ซึ่งลักษณะคล้ายกับเจดีย์ทางภาคเหนือของไทย
คือ มีฐานย่อมุมซ้อนหลายชั้น องค์ระฆังเล็กสั้นแจ้ มีลวดลายรัดอกรอบองค์ระฆัง
ไม่มีบัลลังก์ ปลียอดรูปดอกบัวทรงผอมสูง บนยอดสุดปักฉัตรโลหะปิดทองฉลุลาย
เจดีย์ทรงมอญทั่วไป ฐานจะแผ่กว้างทรงแจ้ แต่เจดีย์ที่วัดเชียงงานี้ทรงชะลูดสูง
ดูแปลกตา
บ้านกล้วย (ทอผ้ามัดหมี่) ตั้งอยู่ในเขตตำบลบ้านกล้วย
อำเภอบ้านหมี่ ห่างจากตลาดบ้านหมี่เข้าไปตามถนนสายบ้านหมี่-โคกสำโรง
ประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นชุมชนชาวไทยพวน ตั้งขึ้นเมื่อประมาณ 135 ปีมาแล้ว
บ้านกล้วยเป็นหมู่บ้านธรรมดา แต่ตามครัวเรือนแต่ละหลังโดยเฉพาะหมู่ที่
1 จะมีการทอผ้ามัดหมี่กันเป็นจำนวนมาก ผ้ามัดหมี่ของบ้านกล้วยทอด้วยฝ้ายและมีลวดลายละเอียดงดงามต่างกับมัดหมี่ของอิสานที่มัดหมี่ฝ้าย
จะทำลวดลายใหญ่ๆ ห่างๆ นอกจากผ้ามัดหมี่แล้วยังมีการทอผ้าขาวม้าคุณภาพดี
ที่มีลวดลายเป็นเอกลักษณ์ของบ้านหมี่ คือ ลายไส้ปลาไหล นอกจากนั้นถัดไปที่หมู่บ้านชาวพวน
ตำบลบางพึ่งยังมีการทอผ้าขิดอีกด้วย
ตัวอำเภอบ้านหมี่ (เจียระไนพลอย)
อยู่ห่างจากอำเภอเมืองลพบุรีไปประมาณ 28 กิโลเมตร คำว่า หมี่ หมายถึงการมัดเส้นไหมเป็นเปลาะเพื่อย้อมสี
ในเปลาะหนึ่งๆ ให้หลากสีกัน เพราะราษฎรในหมู่บ้านละแวกนั้นถนัดในการทอผ้าชนิดนี้
คือผ้ามัดหมี่ คนส่วนใหญ่ของอำเภอบ้านหมี่เป็นไทยพวนที่อพยพมาจากหัวพันทั้งห้าทั้งหกในประเทศลาวเมื่อประมาณ
135 ปีมาแล้ว ได้นำเอาชื่อบ้านเดิมคือ บ้านหมี่ มาใช้เป็นชื่อบ้านที่ตั้งหลักแหล่งใหม่นี้ด้วย
|